ปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือคำสั่งซื้อและรายได้ค้างรับ (Delivery & Backlog Orders As of August 2013) มูลค่า 2,970 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐการไฟฟ้านครหลวง 503 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 289 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 268 ล้านบาท ภาคเอกชนในประเทศ 1,111 ล้านบาท และส่งออก 389 ล้านบาท และอื่น ๆ ของบริษัทย่อย 410 ล้านบาท
พร้อมกันนั้น บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมที่ระดับ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 60 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีการเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ตามการขยายตัวของตัวเลขอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนต่างๆของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงจากการเปลี่ยนหม้อแปลงเก่าที่มีอายุมากกว่า 30 ปีของภาครัฐ
สำหรับงานที่มีโครงการจะเปิดประมูลอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3-4/56 มีมูลค่ากว่า 5,600 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วงเงิน 2,500 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 200 ล้านบาท และการไฟฟ้านครหลวง 200 ล้านบาท และในส่วนของภาคเอกชนภายในประเทศอีก 1,500 ล้านบาท และส่งออกประมาณ 500 ล้านบาท และงานประมูลของบริษัทย่อย 700 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯคาดว่าจะสามารถชนะการประมูลงานได้มากกว่า 20-25%
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) จะยังคงรักษาระดับให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 20-25% ควบคู่กับการรักษาสัดส่วนตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และมาตรการในด้านอื่นๆ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ตามแผนธุรกิจของบริษัท
"รายได้ปีนี้จะเติบโตสูงกว่าปีก่อน ส่งผลให้ Net profit margin สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการบริหารค่าใช้จ่ายดีขึ้น และจะยังคงรักษาระดับ Net ในครึ่งปีหลังให้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ระดับ 5.59% จากที่ในครึ่งปีหลังนี้จะมีงานส่งมอบมากกว่าในครึ่งปีแรก"นายสัมพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้างานในมือ (Backlog)ทั้งปีอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ภายปีนี้ 2,600 ล้านบาท จากสิ้นเดือนมิ.ย.รับรู้รายได้แล้วกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากงานที่จะส่งมอบในช่วงครึ่งปีหลังจะมีมากกว่าครึ่งปีแรก รวมถึงตั้งงบลงทุนปี 56-57 ไว้ที่ 600 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของหม้อแปลงและตัวถังครอบ ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 9,000 MVA จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 5,000 MVA