ทั้งนี้ ในเบื้องต้นกลุ่ม PRANDA ตั้งงบลงทุนรวม 3 ปี(ปี 56-58)ที่ 500 ล้านบาท โดยจะเน้นการขยายจุดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นลำดับต้นๆ เพราะมองว่ายังขยายตลาดได้อีกมาก ซึ่งใน 3 ประเทศนั้นมีบริษัทย่อยอยู่แล้ว และจะใช้งบดังกล่าวภายในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นปีถัดไป
ส่วนการขยายกำลังการผลิตนั้น บริษัทสามารถขยายเพิ่มได้ทั้งโรงงานในเวียดนามที่ยังมีพื้นที่เหลืออยู่พร้อมลงทุนเพิ่ม สามารถขยายได้เป็น 3 ล้านชิ้น/ต่อปี สำหรับประเทศฟิลิปปินส์กำลังเจรจาอาจเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร โดยปัจจุบัน กำลังการผลิตรวมของกลุ่มอยู่ที่ 8-10 ล้านชิ้น/ปี แบ่งเป็นในไทย 5 ล้านชิ้น อินโดนีเซีย 2 ล้านชิ้น และเวียดนาม 1 ล้านชิ้น
บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เพิ่มเป็น 50% และรับจ้างผลิต(OEM) 50% ในอีก 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้เฮ้าส์แบรนด์อยู่ที่ 30% และ OEM 70% โดยบริษัทจะขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย ที่จะเน้นเอาสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ไปบุกตลาดเหล่านี้มากขึ้น ส่วนตลาดสหรัฐและยุโรปก็ยังเป็นตลาดสำคัญที่จะเติบโตจากสินค้า OEM ซึ่งแบรนด์หลักของ PRANDA ได้แก่ พรีม่า โกลด์, พรีม่า ไดมอน และ MERII ขณะนี้ในเวียดนามมีจุดจำหน่ายพรีมา โกลด์ 8 สาขา และสิ้นปีจะครบ 10 สาขา ส่วนอินโดนีเซียมี 1 สาขา สิ้นปีเพิ่มเป็น 2 สาขา
นายปรีดา กล่าวถึงผลประกอบการในปีนี้ว่า รายได้รวมในปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 4,230 ล้านบาท พลาดเป้าหมายจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 5% เนื่องจากครึ่งแรกได้รับผลกระทบจากวิกฤตยุโรป เงินบาทแข็งค่า และภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ครึ่งแรกทำรายได้ 1,750 ล้านบาท ลดลง 5.99% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่แนวโน้มครึ่งหลังคาดรายได้คงสูงกว่าครึ่งปีแรก เพราะเป็นฤดูการขาย ซึ่งในช่วงเดือน ก.ย.-ส.ค.มีสัญญาณดีขึ้นแล้วจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาต่อเนื่อง
ส่วนกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนที่มีกำไร 449 ล้านบาท เพราะครึ่งปีแรกขาดทุน 2.17 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 1/56 เงินบาทแข็งค่ามาที่ 28 บาท/ดอลลาร์ ไตรมาส 2/56 อ่อนลงมาเล็กน้อย แต่เมื่อมาถึงไตรมาส 3/56 ค่าเงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ราว 32 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออก และหากครึ่งปีหลังค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 32 บาท/ดอลลาร์ ก็จะส่งผลดีต่อกำไรของบริษัท จึงอยากให้รัฐบาลพยายามรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้เป็นส่งออก 80% ในประเทศ 20% ส่งออกแบ่งเป็นสหรัฐ 35% ยุโรป 30% เอเชีย 35%
"6 เดือนแรกของปีนี้ถือเป็นช่วงหนักสุดของเรา จากนี้ไปจะฟื้นตัวและฟื้นเต็มที่ใน 3 ปี เชื่อปี 57 การบริโภคเครื่องประดับจะกลับมาทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย จากนี้ไปดีมานด์ไม่น่ามีข่าวร้ายอะไรเพราะข่าวร้ายยุโรปเข้ามาหมดแล้วคนเริ่มชิน จากครึ่งแรกที่ยุโรปช็อก แต่ตอนนี้คุ้นเคยและทำใจได้กลับมาบริโภคเครื่องประดับอีกครั้ง สหรัฐฟื้นจากการถดถอยตอนนี้สู่แสงสว่างแล้ว จีนก็กระตุ้นการบริโภคในประเทศแทน สงครามซีเรียมีประเด็นบ้างทองอาจขึ้นเพราะทองรับรู้โอกาสสงครามไปแล้วระดับหนึ่งแล้ว"