"ตอนนี้ราคาใกล้จุดต่ำสุด ส่วนจะลากยาวถึงปีหน้ายังพูดไม่ได้ ถ้าผู้ถือหุ้นที่มีความมั่นใจในพลังงานถ่านหิน และถ้าถือหุ้นก็ไม่ต่างกันระหว่างถือก่อนต่ำสุดหรือหลังต่ำสุด...ราคาต่ำกว่าที่เราคาด เป็นเพราะบางตลาดคาดเดายากในระยะที่ผ่านมา...ราคาถ่านหินในครึ่งปีหลังน่าจะต่ำกว่าในครึ่งปีแรก"นายชนินท์ กล่าว
ทั้งนี้ ราคาถ่านหินในตลาดโลกในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 78-89 เหรียญสหรัฐ/ตันสำหรับถ่านหินที่มีค่าความร้อน 6,000 กิโลแคลอรี่ และราคาปีหน้าคาดว่าจะฟื้นตัวไปที่ 82 เหรียญสหรัฐ/ตัน
อย่างไรก็ดี บริษัทเน้นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เห็นว่าเป็นวิธีการที่เห็นประสิทธิภาพดีกว่าการเพิ่มปริมาณขาย โดยปีนี้ยังคงปริมาณขายที่ 46 ล้านตัน ซึ่งปีนี้คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนเหมืองในอินโดนีเซียลงราว 10% หรือ 7 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 63 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเหมืองในออสเตรเลีย ในปีนี้ตั้งเป้าลดต้นทุน 5-7% หรือประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปีหน้าก็ตั้งเป้าลดต้นทุนต่อเนื่องอีก 5-7%
นายชนินท์ กล่าวว่า ค่าเงินอินเดียที่อ่อนตัวลงมาก ทำให้ดีมานด์จากอินเดียลดลง โดยอินเดียนำเข้าถ่านหินคุณภาพต่ำ แต่คาดว่าไม่กระทบกับ BANPU มาก เพราะมีการส่งออกไปอินเดียปีละ ประมาณ 3 ล้านตัน หรือประมาณ 9-10% ของจำนวนส่งออกทั้งหมด 34 ล้านตัน และอย่างไรก็ดีอินเดียก็จำเป็นต้องนำเข้าถ่านหินเพื่อนำไปผลิตไฟฟ้าต่อเนื่อง
ขณะที่ในออสเตรเลีย มีแนวโน้มว่ารัฐบาลใหม่จะยกเลิกการเก็บภาษีคาร์บอน จะทำให้อุตสาหกรรมที่เคยเสียภาษีคาร์บอนจะกลับมา ได้แก่ โรงถลุง ซึ่งจะทำให้มีแนวโน้มการใช้ถ่านหินมากขึ้นซึ่งมีผลดีต่อบริษัท ขณะเดียวกัน แม้บริษัทจะเสียภาษีคาร์บอนแต่ที่ผ่านมารัฐบาลอุดหนุนบางส่วนทำให้บริษัทเสียภาษีเพียง 50 เซ็นต์ต่อตัน จุดนี้บริษัทไม่ได้มีค่าใช้จ่ายมากอยู่แล้ว
นายชนินท์ กล่าวย้ำว่า บริษัทยังไม่ละโอกาสที่หาจังหวะลงทุนใหม่ทั้งในธุรกิจถ่านหินและธุรกิจไฟฟ้า หากได้ในราคาที่ต่ำที่บริษัทลงทุนได้อย่างคุ้มค่า โดยมองธุรกิจในแถบเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก แม้ว่าในช่วง 3-4 ปีนี้บริษัทจะปรับสัดส่วนกำไรของธุรกิจไฟฟ้าขึ้นมาที่ 40% จาก 20% และปรับลดสัดส่วนธุรกิจถ่านหินลงเหลือ 60% จาก 80% ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์
"ถ้าเรามีความเชื่อว่าถ่านหินยังมีความต้องการระยะยาว ถือว่าเป็นธุรกิจดี ถ้าซื้อได้ในราคาต่ำเราลงทุนได้ เราจะลงทุนทั้ง 2 ทาง ขึ้นอยู่กับโอกาสตลาดและราคาที่เข้าซื้อ ในช่วง 3-4 ปีเราคงไม่ก้าวไกล ไปเสี่ยงในธุรกิจก๊าซ พลังงานทดแทน" นายชนินท์ กล่าว
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อทุน(ROE) ของธุรกิจถ่านหินมากกว่า 15% ส่วนธุรกิจไฟฟ้าให้ ROE ต่ำกว่า คือ 10-15%
นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/56 คาดว่าจะได้ผลการศึกษาการแปลงถ่านหินเป็นทาร์ในมองโกล ซึ่งตลาดจีนมีความต้องการสูง คาดว่าจะลงทุนเริ่มต้นในจำนวนเงินไม่มากนัก และหากตลาดดีก็ทยอยค่อยๆเพิ่มการลงทุนต่อไป