การทบทวนอันดับเครดิตดังกล่าวกระทำหลังจากการปรับโครงสร้างองค์กรของบริษัทที่เสร็จสิ้นภายหลังการซื้อหุ้น 50.64% ใน บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) และหุ้นที่เหลือ 40% ใน บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (Grand U)
ทริสเรทติ้งยกเลิกเครดิตพินิจ “Developing" หรือ “ยังไม่ชัดเจน" ของบริษัทและแทนที่ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาและส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรได้ตามแผน ภายหลังจากการซื้อกิจการของ GOLD แล้ว รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200-1,300 ล้านบาทต่อปี จาก 200 ล้านบาทในปี 2555 นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แต่ทั้งนี้ ไม่ควรสูงเกินกว่า 55% ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นและอยู่ที่ประมาณ 10%-15% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงฐานทุนของ UV ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นภายหลังจากการเพิ่มทุนจำนวน 5,700 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นของ GOLD และ Grand U นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากอาคารสำนักงานและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ของ GOLD ด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากกระแสเงินสดที่อ่อนตัวลงของบริษัท ภายหลังจากที่บริษัทได้ควบรวมผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของ GOLD เข้ามาและจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงของการลงทุนในหลาย ๆ โครงการที่ดำเนินงานโดย GOLD และ Grand U
ทริสเรทติ้งยังพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวโดยคำนึงถึงการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ บริษัท อเดลฟอส จำกัด ตลอดจนลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง รวมถึงความกังวลในด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะขาดแคลนแรงงานด้วย
UV ก่อตั้งในปี 2523 ในฐานะผู้ผลิตสังกะสีออกไซด์ บริษัทเริ่มเปลี่ยนไปเน้นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2543 โดยลงทุนในโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2550 บริษัทอเดลฟอสเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51.6% ของหุ้นทั้งหมด และ ณ เดือนมีนาคม 2556 มีสัดส่วน 58.08% เจ้าของกิจการของบริษัทอเดลฟอสคือทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสิริวัฒนภักดีซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งภายใต้กลุ่มทีซีซีด้วย ในปลายปี 2555 บริษัทเพิ่มทุนเป็น 6,975 ล้านบาทจาก 1,240 ล้านบาทเพื่อให้บริษัทสามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Grand U เป็น 100% และซื้อหุ้น 50.64% ใน GOLD รายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและเพื่อให้เช่า รวมทั้งจากธุรกิจสังกะสีออกไซด์
ณ เดือนมิถุนายน 2556 บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างพัฒนาจำนวน 12 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 8 โครงการ และบ้านจัดสรร 4 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมพัฒนาโดย Grand U ซึ่งมีราคาขายเฉลี่ย 2.2 ล้านบาทต่อยูนิต ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรร 4 โครงการพัฒนาโดย GOLD ซึ่งมีราคาขายเฉลี่ย 13.6 ล้านบาทต่อหลัง โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,200 ล้านบาท และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 7,900 ล้านบาท ยอดขายของบริษัทดีขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2555 เพิ่มขึ้นถึง 70% จากปีก่อนเป็น 3,971 ล้านบาท ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ยังคงเติบโตที่ระดับ 3,246 ล้านบาท ซึ่งเกือบเท่ากับยอดขายของปี 2555 ทั้งปี
รายได้ของบริษัทเท่ากับ 4,387 ล้านบาทในปี 2555 เติบโต 22% จากปีก่อน โดยรายได้จากคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 3,112 ล้านบาทในปี 2555 จาก 2,545 ล้านบาทในปี 2554 รายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าเพิ่มขึ้นเป็น 219 ล้านบาทในปี 2555 จาก 13 ล้านบาทในปี 2554 รายได้ค่าเช่าดังกล่าวเพิ่มขึ้นเนื่องจากอาคารสำนักงาน Park Ventures มีอัตราการเช่าและค่าเช่าสูงขึ้นในปี 2555 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 รายได้ลดลงเป็น 1,564 ล้านบาทจาก 1,991 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม รายได้ในปี 2556 คาดว่าน่าจะสูงกว่าปีที่แล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีแผนการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ประกอบกับรายได้จากค่าเช่าเมื่อรวมกับรายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์แล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น รายได้ของบริษัทจึงน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,000-9,000 ล้านบาทในปี 2557 เนื่องจากบริษัทจะมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมของ Grand U จำนวน 7 โครงการ นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะมีรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรโครงการใหม่ของ GOLD เข้ามาอีกด้วย
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นในปี 2555 โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 13.3% จาก 10.5% ในปี 2554 และ 6.1% ในปี 2553 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 5% ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2556 บริษัทน่าจะยังคงขาดทุนอยู่เนื่องจากการควบรวมผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของ GOLD เข้ามา ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทคาดว่าจะดีขึ้นเมื่อโครงการบ้านจัดสรรของ GOLD เริ่มรับรู้รายได้มากขึ้นในปี 2556
ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นหลังจากการเพิ่มทุนจำนวน 5,700 ล้านบาทในปลายปี 2555 ณ เดือนมิถุนายน 2556 อัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 48.44% ลดลงจาก 55.42% ณ เดือนธันวาคม 2554 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทมีแผนจะขยายการลงทุนทั้งในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและเพื่อให้เช่า อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวไม่ควรสูงเกินกว่า 55%
กระแสเงินสดในช่วงปี 2551-2554 ได้รับแรงหนุนจากเงินรับล่วงหน้าจาก บริษัท ทีซีซี ลักซ์ชูรี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (TCCLH) เพื่อนำไปใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการก่อสร้างโครงการ Park Ventures อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนแอลงเนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจึงอ่อนตัวลงเหลือ 8.75% ในปี 2555 และ 1.42% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 จาก 15.86% ในปี 2554 และ 36.02% ในปี 2553 อัตราส่วนดังกล่าวคาดว่าจะดีขึ้นเป็นประมาณ 10% เมื่อผลการดำเนินงานของ Grand U และ GOLD ดีขึ้น คาดว่า Grand U จะเปิดขายและส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมให้แก่ลูกค้าได้ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปีอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ GOLD ก็น่าจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากบ้านจัดสรรโครงการใหม่