“บริษัทซื้อหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จาก บริษัท ธนบรรณ จำกัด ในครั้งนี้ ถือว่าได้รับอัตราผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับปกติเหมือนทุกครั้ง เมื่อเทียบกับการซื้อหนี้ในครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทมีมาตรฐานและให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพหนี้ที่ซื้อมาเป็นหลัก เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารหนี้และผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าในอนาคต"นายปิยะ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเป้าหมายในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มจากสถาบันการเงินอีกจำนวน 5 ราย ซึ่งเป็นหนี้ประเภทส่วนบุคคล และหนี้รถยนต์ คาดว่าจะรู้ผลการเจรจาดังกล่าวประมาณไตรมาส 4/56 สนับสนุนเป้าหมายการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีนี้ที่คาดว่าจะซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่ม 1 หมื่นล้านบาทได้สำเร็จ จากในปีที่ผ่านมาบริษัทมีพอร์ตการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท
สำหรับทิศทางธุรกิจบริหารจัดการหนี้ของบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบโตอีกมากในทิศทางเดียวกับภาพรวมตลาดสินเชื่อที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากการแข่งขันทางการตลาดในการปล่อยสินเชื่อของภาคเอกชน ในขณะที่นโยบายรถคันแรกในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุน และเป็นโอกาสของบริษัทในการเข้าไปซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นได้
“ปัจจุบัน บริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 85% ส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ที่ 15% และคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้สัดส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์จะเพิ่มขึ้นอีกราว 3% อยู่ที่ 18% และเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30% ได้ในปีหน้า ส่วนพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคลคาดว่าจะอยู่ที่ราว 70% ไม่เปลี่ยนแปลงมาก" นายปิยะ กล่าว
นายปิยะ กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้นักลงทุนเริ่มศึกษา JMT มากขึ้น ถึงวิธีการคำนวณรายได้บริษัทฯ เพื่อการเข้าใจในธุรกิจอย่างแท้จริง โดยบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งทางการเงิน และความสามารถในการบริหารจัดการ ซึ่งธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี จึงได้รับความไว้วางใจในการบริหารจัดการหนี้จากหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และยังคงมั่นใจว่า ผลจากการตัดต้นทุนในหนี้ก้อนโตที่บริษัทฯ ได้ซื้อมาบริหารจัดการในช่วงก่อนหน้านี้เสร็จสิ้น บริษัทฯ จะสนับสนุนให้ผลงานในปี 2557 มีการเติบโตขึ้นอย่างมาก