รายได้จากยอดขายโทรศัพท์มือถือทั้งค้าส่ง-ค้าปลีกช่วงครึ่งปีหลังยังน่าจะไปได้ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกตอบรับการเปลี่ยนเทคโนโลยีมาสู่ 3G ถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจอาจไม่ดีขึ้น แต่จำนวนเครื่องไม่ลดลงและราคาต่อหน่วยมีแนวโน้มสูงขึ้น น่าจะทำให้สามารถคงเป้ารายได้จากขายโทรศัพท์ทั้งปีที่กว่า 3,000 ล้านบาทใกล้เคียงปี 55 ทั้งเฮ้าส์แบรนด์ และอินเตอร์แบรนด์ เช่น ไอโฟน แบล็กเบอร์รี่ ซัมซุง และ โนเกีย เป็นต้น
"ครึ่งหลังต้องดูปัจจัยภายนอกและเศรษฐกิจในประเทศ ดูการบริโภค ถ้าเงิน 2 ล้านล้านบาทผ่าน เงินก็จะสะพัดทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจทุกอย่างดีขึ้น ถ้าในตลาดมือถือ การเปลี่ยนแปลงของระบบ 3G จะเป็นการกระตุ้นตลาด สินค้าก็เปลี่ยนเป็น 3G ทั้งหมด ส่วนคู่แข่ง ฐานลูกค้าก็เป็นของเราเอง มีตัวแทนจำหน่ายของเราสร้างเครือข่าย จัดจำหน่ายให้เข้มแข็งเน้นงานบริการมากขึ้น"นายพุทธชาติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่รายได้รวมในปีนี้อาจลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 3,700 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปี 56 มีรายได้ราว 1,868 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อนมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามารวมด้วย แต่ในปีนี้รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดจะถูกแยกออกไปเป็นของบริษัทลูก คือ บริษัท ปิยะชาติ ที่ TWZ เข้าซื้อกิจการมาในมูลค่า 120 ล้านบาท และถือหุ้นในสัดส่วน 99.99%
"ปีก่อนรายได้รวมกว่า 3.7 พันล้านบาท แต่ไปรวมธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจอื่นๆ ด้วย แต่ปีนี้ธุรกิจอสังหาฯ จะถูกแยกออกไปเป็นของปิยะชาติแล้ว ซึ่ง TWZ ก็จะเป็นเรื่องขายโทรศัพท์มือถือเกือบทั้งหมด ก็เหลือแต่รายได้อสังหาฯอีกนิดหน่อยที่ค้างโอนอยู่ แต่จากนี้ไปธุรกิจอสังหาฯทั้งหมดที่บริษัทจะเริ่มโครงการใหม่ๆจะใช้ปิยะชาติดำเนินการ"นายพุทธชาติ กล่าว
นายพุทธชาติ กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่ากำไรปีนี้น่าจะสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไร 5.42 ล้านบาท เพราะครึ่งปีแรกมีกำไรแล้ว 10.30 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไร(มาร์จิ้น)โทรศัพท์มือถือในปีก่อนน้อยมาก เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่ 3G แต่ปีนี้สถานการณ์นิ่งแล้วทำให้ยอดขายโทรศัพท์มือถือเกือบทั้งหมดเป็น 3G ส่วนเครื่อง 2G หรือเครื่อง low end เหลือน้อยลงและส่วนใหญ่ขายในต่างจังหวัด ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าปีก่อนแน่นอน
อีกทั้งบริษัทสามารถขายสินค้าสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริมได้เพิ่มสูงขึ้นตามความนิยมของผู้บริโภค โดยสัดส่วนรายได้จากสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นมาเกือบ 50% แนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าปี 57 น่าจะเติบโตเป็น 70% ราคาขายเฉลี่ยปีนี้มีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับว 2,000 บาท/เครื่อง ซึ่งหากเป็นโทรศัพท์ 3G รุ่นทั่วไปราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 พันบาท/เครื่อง
"โดยรวมกำไรทั้งปีคาดว่าจะสูงกว่าปีก่อน เพราะมาร์จินมือถือสูงขึ้น และกำไรส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจอสังหาฯหลังมีการโอนรับรู้รายได้แล้ว ทำให้มีรายได้และกำไรเพิ่ม"นายพุทธชาติ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิการซื้อหุ้นสามัญรุ่นที่ 2(TWZ-W2)จำนวน 1,028 หน่วย เพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ระบบจัดจำหน่าย พัฒนาแบรนด์ทั้งสร้างแบรนด์ใหม่และรีแบรนดิ้งให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ต้องรอดูยอดเงินการใช้สิทธิก่อน จากราคาใช้สิทธิที่ตั้งไว้ 0.40 บาท/หุ้น หากใช้สิทธิทั้งหมดก็จะได้เงินราว 400 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะเน้นเพิ่มตัวแทนจำหน่ายจากปัจจุบันที่มีอยู่ 300-500 รายทั่วประเทศ เพื่อดูแลลูกค้าต่างจังหวัด ส่วนร้านค้าหรือ Outlet คงไม่ขยายเพิ่ม แต่จะนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายเพิ่มขึ้น
อนึ่ง TWZ-W2 มีอายุ 1 ปี นับแต่วันที่ออก(13 ก.ย.56 ถึง 12 ก.ย.57) อัตราการใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 ราคาการใช้สิทธิ 0.40 บาทต่อหุ้น คาดสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายปลายก.ย.นี้
นายพุทธชาติ กล่าวถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ปิยะชาติ ว่า ยังเดินหน้าพัฒนา 2 โครงการเดิม คือโครงการนวนคร เลคไซด์ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร และโครงการโฮมออฟฟิศที่รัชดา 26 ยูนิต ราคายูนิตละ 12 ล้านบาท การก่อสร้างคืบหน้า 60-70% มูลค่าโครงการ 300 กว่าล้านบาท พื้นที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินรัชดาภิเษก ภายในปีนี้จะสามารถขายและรับรู้รายได้เกือบทั้งหมด ซึ่งโครงการที่รัชดามีพื้นที่ 4 ไร่ครึ่งและยังมีที่ดินเหลืออยู่ รวมทั้งในอนาคตมีแผนจะซื้อที่ดินเพิ่มในทำเลอื่นเพื่อพัฒนาโครงการใหม่
"สัปดาห์นี้จะชี้แจงต่อผู้ถือหุ้น เพราะสอบถามมามากเรื่องธุรกิจอสังหาฯ รวมทั้งบริษัทมีการออกวอร์แรนท์จะนำเงินไปใช้อะไรบ้าง ความคืบหน้าแต่ละโครงการ"นายพุทธชาติ กล่าว