“ใน 3-5 ปี ข้างหน้าเราจะเน้นรุกตลาดในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคตะวันออก อีสาน และภาคเหนือ ซึ่งจะเป็นคีย์หลักของบริษัท เนื่องจากตลาดในต่างจังหวัดมีการขยายตัวอย่างมาก แนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตขึ้นในอนาคต ตอนนี้เราก็มีโครงการแนวราบที่ศรีราชา จ.ชลบุรีแล้ว 2 โครงการ ต่อไปเรามองจังหวัดระยอง โคราช ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี ในการขยาย ส่วนภาคเหนือมองว่ามีศักยภาพจากการที่ภาครัฐมีแผนการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง และเป็นภาคที่มีเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้มีกำลังซื้ออยู่มาก"นายชูรัชฏ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ บริษัทยังคงเป้ายอดขายที่ 2.6 พันล้านบาท แม้ว่า 8 เดือนแรกจะทำยอดขายได้แล้วถึง 2 พันล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 16-19% จากปีก่อน 15.56% เนื่องจากได้รับผลดีจากมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น 20% จากเดิม 30% ประกอบกับบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนต่างๆได้ โดยเฉพาะต้นทุนการผลิตที่บริษัทมีโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูป Pre-Cast ทำให้ช่วยลดต้นทุนได้และลดปัญหาเกี่ยวกับแรงาน และบริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อยอดขายดีเป็นลำดับต้นๆของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์
นายชูรัชฎ์ กล่าวว่า บริษัทก็ยังไม่พิจารณาปรับเป้าหมายยอดขายในปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งไว้ 2.6 พันล้านบาท และคาดว่ารายได้ของบริษัทยังเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2.25 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกบริษัทมียอดรับรู้รายได้แล้ว 1.21 พันล้านบาท
ส่วนยอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทอยู่ที่ 1.3-1.5 พันล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 1 พันล้านาท และในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 8-10 โครงการ มูลค่าราว 4 พันล้านบาท และบริษัทตั้งบซื้อที่ดินในปีนี้อยู่ที่ 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกใช้ไปมากแล้ว และส่วนที่เหลือบริษัทก็ทยอยซื้อที่ดินเรื่อยๆเพื่อรองรับโครงการในอนาคต