“ภายหลังจากที่ ก.ล.ต. อนุญาตให้บริษัทฯ เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและแบบแสดงรายการข้อมูลมีผลใช้บังคับแล้ว บล.ทิสโก้ และบริษัทฯ จะกำหนดวันเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป ก่อนจะนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณไตรมาสที่ 4 ของปีนี้" นายธนะชัยกล่าว
ทั้งนี้ บมจ.นามยง เทอร์มินัล มีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 205.50 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 33.15 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 620.00 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้ว มีจำนวน 414.50 ล้านบาท คิดเป็น 414.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
บริษัทเป็นผู้ให้บริการท่าเทียบเรือเพื่อการส่งออกและนำเข้ารถยนต์แบบครบวงจร ณ ท่าเทียบเรือ A5 ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือน้ำลึกหลักของประเทศไทยที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และมีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับฐานการผลิตของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์โดยส่วนใหญ่โดยการให้บริการของบริษัทฯ ประกอบด้วย การให้บริการท่าเทียบเรือ การให้บริการพื้นที่ฝากเก็บสินค้าและเตรียมความพร้อมก่อนส่งออก รวมถึงการให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก
นอกจากนั้น บริษัทฯ ร่วมกับกลุ่มบริษัท NYK ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งทางทะเลชั้นนำของโลก ได้เข้าลงทุนในบริษัท แหลมฉบัง อินเตอร์เนชั่นแนล โร-โร เทอร์มินัล จำกัด หรือ LRT โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 20.00 และมีสิทธิ (Option) ที่จะซื้อหุ้น LRT เพิ่มเติมจาก NYK ได้อีกไม่เกินร้อยละ 29.00 รวมเป็นสัดส่วนการถือหุ้นสูงสุดร้อยละ 49.00
สำหรับ LRT เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้บริการท่าเทียบเรือเพื่อการส่งออกและนำเข้ารถยนต์และสินค้าทั่วไป ซึ่งมีท่าเทียบเรือและพื้นที่ให้บริการในบริเวณท่าเทียบเรือ C0 ท่าเรือแหลมฉบัง
ด้านนายเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นามยง เทอร์มินัลกล่าวว่า ท่าเทียบเรือ A5 ของบริษัทฯ เป็นท่าเรือที่สามารถให้บริการอย่างครบวงจร ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานระดับโลก สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ รวมทั้งบริษัทสายเดินเรือที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำของโลก
บริษัทฯ มั่นใจในพื้นฐานของธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และการส่งออกรถยนต์ของประเทศไทย โดยปริมาณรถยนต์ที่ส่งออกผ่านท่าเทียบเรือ A5 ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 2 แสนกว่าคันในปี 2546 เป็นกว่า 8 แสนคันในปี 55 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าตัวขณะที่ที่ผ่านมาท่าเทียบเรือ A5 ของบริษัทฯ ครองความเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 80% มาโดยตลอด