พร้อมทั้งคาดว่าจำนวนผู้โดยสารทั้งปีของนกแอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.6 ล้านคน จากที่ครึ่งปีแรก 2.8 ล้านคน เติบโต 40% เนื่องจากอัตราส่วนผู้โดยสารต่อเที่ยวบิน(Cabin Factor)ในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาที่ 83-86% จากปีก่อนอยู่ที่ราว 80% ประกอบกับ มีการเพิ่มจำนวนที่นั่งโดยสารอีก 50% ทุกเที่ยวบิน และบริษัทเตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ 2 เส้นทางไปยังพม่า
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มรายได้และกำไรในไตรมาส 3/56 ถือเป็นช่วงโลว์ซีซันที่ผลประกอบการจะออกมาต่ำกว่าไตรมาสอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาส 3/55 และช่วง 9 เดือนของปี 55 ก็ถือว่ายังมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับธุรกิจการบินในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากความเชื่อมั่นที่ดีของนักท่องเที่ยว แม้จะเหตุการณ์อุบัติเหตุทางเครื่องบินเกิดขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน แต่จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องและเป็นแนวโน้มที่ดี สะท้อนจากจำนวนเที่ยวบินในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง และนักท่องเที่ยวยังมีความเชื่อมั่นในการเดินทางทางอากาศ
ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดในซีเรียเริ่มผ่อนคลายลง ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนหลักของธุรกิจสายการบินลดลงตามไปด้วย โดยที่ก่อนหน้านี้บริษัทใช้ระบบการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้ากับบริษัท เชลล์ ส่วนเรื่องความผันผวนของค่าเงินบาท ทางบริษัทได้มีการป้องกันความเสี่ยงด้วยการทำ Hedging ในสัดส่วน 30%ไว้แล้ว
แผนการขยายเส้นทางการบินใหม่ของบริษัทฯ ยังเป็นตามที่กำหนดไว้ โดยอยู่ระหว่างการทำแผนฟื้นเส้นทางการบินเวียดนามที่จะได้ข้อสรุปในปีนี้ 2 เส้นทางคือปลายทางฮานอย และโฮจิมินห์ น่าจะเริ่มบินได้ในปี 57 ส่วนเส้นทางการบินไปยังจีนนั้นปัจจุบันอยู่ในรูปแบบของเช่าเหมาลำ ซึ่งคาดว่าในปี 57 จะเปลี่ยนมาอยู่ในตารางบินปกติ คือเส้นทางเฉินตู และนานกิง
นอกจากนั้น บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนที่จะลงทุนในการซื้อเครื่องบินเป็นของบริษัทฯเอง
"เราได้ศึกษาแผนในการซื่อเครื่องบินเป็นของตัวเอง หากเราได้ข้อสรุปของแผนแล้ว เรามองว่าเงินที่เราได้มาจากการขาย IPO นั้นก็ยังเพียงพอต่อการลงทุนในระยะเวลาอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเรามีเงินสดอยู่ปัจจุบันกว่า 5 พันล้านบาท"นายวิทัย กล่าว