"นักลงทุนอาจจะ panic เพราะคุณประชา เป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง อยู่ที่การรับรู้ข่าวสารของแต่ละคนว่าคิดอย่างไร แต่ในส่วนของบริษัทยังเดินหน้าดำเนินธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์ตามแผนต่อไป แม้ว่าคุณประชาจะผู้ถือหุ้นสัดส่วนอาจเยอะ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผลการดำเนินงานของบริษัท เป็นประเด็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า"นายนคร กล่าว
นายนคร กล่าวว่า ช่วงแรกนายประชาเข้ามาถือหุ้น N-PARK กว่า 20% และหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)และผู้ถือหุ้นเดิม นายประชาก็เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ 3-4 รายผู้ที่ใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามาด้วย อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลผู้ถือหุ้น N-PARK ณ วันที่ 16 พ.ค.56 ปรากฎว่านายประชา ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 4.94%
อนึ่ง ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 16 พ.ค.56 อันดับ 1 เป็น MORGAN STANLEY & CO. INTERNATIONAL PLC จำนวน 23,554,432,700 หุ้น หรือคิดเป็น 19.56% อันดับ 2 นายศานติ ประนิช 6,267,500,000 หุ้น หรือคิดเป็น 5.20% อันดับ 3 นายประชา มาลีนนท์ 5,950,000,000 หรือคิดเป็น 4.94%
กรรมการผู้จัดการ N-PARK กล่าวอีกว่า บริษัทยังให้ความสำคัญกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจหลักที่มีการวางแผนงานประจำปีอยู่แล้ว ส่วนบริษัทจะแตกไลน์ธุรกิจไปทำเอนเตอร์เทนเม้นท์หรือไม่นั้น ยอมรับว่ามีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง การที่นายประชาเข้ามาลงทุนในหุ้น N-PARK ไม่ใช่เพื่อขยายธุรกิจด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ แต่เพราะเห็นว่ามีทรัพย์สินของบริษัทที่มูลค่าเกินมูลค่าทางบัญชี(Book Value)พอสมควร
สำหรับแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตนั้น บริษัทได้ซื้อที่ดินใน อ.อรัญประเทศ ชายแดนกัมพูชาด้านปอยเปตกว่า 20 ไร่ เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและอาคารพาณิชย์ ซึ่งขณะนี้เริ่มปรับที่ดินแล้วและจะเปิดขายปลายปี 56 โครงการเฟสแรกจะมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท เป็นคอนโดฯ 500 ยูนิต มูลค่า 600-700 ล้านบาทเริ่มรับรู้ฯปี 58 ส่วนอาคารพาณิชย์มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท น่าจะสร้างเสร็จก่อนและรับรู้รายได้บางส่วนตั้งแต่ปลายปี 57
"เรามองเรื่อง AEC รองรับคนเขมรที่อยากจะเข้ามามีทรัพย์สินในไทย เพราะคอนโดฯต่างชาติสามารถซื้อได้"นายนคร กล่าว
ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมย่านรามอินทรามูลค่าโครงการ 400 ล้านบาทที่เพิ่งเปิดตัวไป ปัจจุบันมียอดขาย 90% คาด่าจะสร้างเสร็จกลางปี 57 และเริ่มทยอยรับรู้รายได้ปลายปี นอกจากนี้ ยังมีที่ดินย่านอ่อนนุชเตรียมพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม โดยอยู่ระหว่างร่างแบบ และมีแผนทำโครงการบ้านเดี่ยวในระดับ Super luxury ที่บางกระเจ้า มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท น่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 57
ส่วนโครงการร้อยชักสาม ล่าสุดกรมธนารักษ์ยินดีที่จะขยายเวลาที่สูญเสียไปให้กับบริษัท แต่อยู่ระหว่างหารือในรายละเอียด คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้ข้อสรุป
นายนคร กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในปี 56 จะเป็นกำไร เพราะครึ่งปีแรกมีกำไรแล้วกว่า 400 ล้านบาท และไตรมาส 3/56 หากมีการโอนที่ดินย่านบางกระเจ้าที่บริษัทตัดขายบางส่วนได้ตามกำหนด ก็จะทำให้ผลประกอบการทั้งปีเป็นบวก โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาขายที่ดินแปลงใหญ่กว่า 10 ไร่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา หากขายได้ก็จะรับรู้รายได้และกำไรในปีนี้ทันที