แต่อย่างไรก็ตาม รายได้ในปี 56 ยังเติบโตขึ้นราว 50% เมื่อเทียบกับปี 54 เป็นไปตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น
นางสาวรุ่งฉัตร กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่ายอดขายสินค้าในกลุ่มน้ำผลไม้ในปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 5% และจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 15% ในปี 57 เนื่องจากเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ"มาลี เฮลติพลัส (MELEE Healti Plus)" ทั้ง 3 สูตร ได้แก่ สูตรอะเซโรล่าเชอร์รี่ สูตรส้มยูสุ และสูตรแบล็คเคอร์เรนท์ จะสร้างกระแสความนิยมในรูปแบบใหม่ในการดื่มน้ำผลไม้ผสมน้ำแร่ในกลุ่มนักศึกษาและคนทำงาน
ทั้งนี้ ตลาดรวมน้ำผลไม้ของไทยในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท โดยแบรนด์น้ำผลไม้มาลี(MALEE) 100% มีส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมดอยู่ที่ 26% เพิ่มขึ้นจาก 24% จากปีก่อน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต 23% สูงกว่าภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ 100% ที่เติบโต 14% จากปีก่อน
"ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังนี้มองว่า ตลาดน้ำผลไม้ 100% การเติบโตจะอยู่ที่ 14% ซึ่งยังคงโตต่อเนื่อง แต่ตลาดน้ำโดยรวมจะเติบโตน้อยลง เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มบริโภคสินค้าน้ำดื่มประเภทอื่นๆมากขึ้น อย่างเช่น ชาเขียว อย่างไรก็ตามด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอลงในปัจจุบัน มองว่าจะไม่กระทบกับบริษัทมากนัก จากที่น้ำผลไม้ 100% ยังเป็นสินค้าที่เป็นความต้องของผู้บริโภคที่รักสุขภาพอยู่"
ส่วนแผนกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทจะเน้นแบบเชิงรุกมากขึ้น โดยวางงบลงทุนปีนี้สำหรับผลิตภัณฑ์ มาลี เฮลติพลัส (MELEE Healti Plus) ประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการบริโภคเชิงรุกในทุกรูปแบบ ซึ่งจะลงทุนในเรื่องของการจัดทำโปรโมชั่น การจัดแจกผลิตภัณฑ์ทดลองชิม รวมถึงการใช้สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 85% และส่งออกต่างประเทศที่ 15% โดยบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกให้เป็น 50% ภายใน 3-5 ปีด้วยการรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นจากที่ได้ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในมากกว่า 20 ประเทศแล้ว และจะขยับขยายตลาดในแถบอาเซียนมากขึ้นด้วย
สำหรับปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก หลังจากปีก่อนลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตไปแล้ว 200-300 ล้านลิตร/ปี ซึ่งยังคงเพียงพอต่อการผลิตอยู่ และคาดว่าจะใช้เพียงพอไปจนถึงปี 58