นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ ผุ้ช่วยกรรมการผุ้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ KGI เปิดเผยว่า BJCHI ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว ซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจะส่งผลให้สัดส่วนหุ้นของกลุ่มตระกูลลีที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลดลงจาก 99.72% เป็น 74.44%
“จากผลงานความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี BJCHI มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนืท่อง สะท้อนได้จากการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายตัวของการลงทุนก่อสร้างในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของบริษัท และนอกจากนี้ยังมีการรับงานในทวีตะวันออกกลาง เอเชีย ยุโรปและอเมริกาอีกด้วย ประกอบกับ บริษัทมีการเน้นงานที่มีคุณภาพมากกว่าราคา ซึ่งให้มาร์จิ้นดี ทำให้มีกำไรสุทธิที่เติบโตก้าวกระโดดขึ้น"นางสาวพัชพร กล่าว
BJCHI มีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้ว มีจำนวน 240 ล้านบาท คิดเป็น 240 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำในการดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบและขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด ซึ่งฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯ เป็นลูกค้าต่างประเทศในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงานและปิโตรเคมี เหมืองแร่ เขื่อน โรงไฟฟ้า และอื่นๆ โดยมีตัวอย่างผลงานเช่น งานโครงสร้างเหล็กท่าเรือ โครงสร้างระบบสายพานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ภาชนะบรรจุน้ำมัน ปิโตรเลียม โครงสร้างเตาเผา งานประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ งานติดตั้งโรงงานไฟฟ้า เหมืองแร่ และ เขื่อนกันชายฝั่ง เป็นต้น
ฐานลูกค้าส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ทั้งในทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง เอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดย ตลาดสำคัญอยู่ที่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ดี เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก
ด้านนายหยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ BJCHI กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ในการลงทุนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทและลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ และอีกส่วนนำไปลงทุนก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัท ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินและโรงงานแห่งใหม่ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการของบริษัท
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 56 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.61 พันล้านบาท โดยขณะนี้มีมูลค่างานในมือ(Backlog) อยู่กว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 56 และ 57
ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีฐานะการเงินเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ในปี 53 มีรายได้ประมาณ 556 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 813 ในปี 54 และเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 55 ซึ่งมีรายได้กว่า 3,613 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 344% ขณะที่ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 2,101 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่า 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่กำไรเติบโตก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 71 ล้านบาทในปี 54 เป็น 792 ล้านบาทในปี 55 คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 1,015% และเติบโตต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งมีกำไรสุทธิ 542 ล้านบาทเติบโตกว่า 145% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน