ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ของธนาคารปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.7% และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง และระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น เนื่องจากธนาคาด้มีการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ยังอยู่ในระดับที่ดี จึงเชื่อว่าจะสามารถรักษา NPL ในปีนี้ไม่เกิน 3.5% ตามเป้าหมาย และยังหวังว่าอาจจะลดลงไปใกล้เคียงภาพรวมระบบธนาคารที่อยู่ในระดับ 2% ได้ในอนาคต
"เราได้มีการบริหารจัดการ ในการปล่อยสินเชื่อให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ยังดีอยู่ ส่งผลให้ NPL ของเรามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และเราหวังว่าที่จะให้ NPL ของเราปรับลดลงไปอยู่ที่ 2% ใกล้เคียงอุตสาหกรรมในอนาคต"นายบุญทักษ์ กล่าว
สำหรับการตั้งสำรองของธนาคารในช่วงที่ผ่านมาดำเนินการไปมากแล้ว จนระดับการตั้งสำรองสูงถึง 135-140% ถือว่าติดอันดับ 1 ใน 4 ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งสำรองสูงสุด ธนาคารจึงมองว่าหลังจากนี้คงยังไม่มีความจำเป็นที่จะมีการตั้งสำรองเพิ่มเติมอีก
นายบุญทักษ์ กล่าวถึงการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารสหรัฐ(FOMC)ไม่ได้มีการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE)ว่า มีผลกระทบทันทีต่อตลาดหุ้น ทำให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ และค่าเงินบาทเข็งค่าขึ้น แต่ก็มองว่าจะเป็นสถานการณ์ในระยะสั้นๆเท่านั้น ในขณะเดียวกันอาจจะส่งผลให้เกิดความผันผวนของค่าเงินในระยะต่อไป จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังและมีการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตสหรัฐมีการปรับลดมาตรการ QE ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากยังมีโครงการลงทุนในด้านต่าง ๆ ของภาครัฐที่จะยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้