ทั้งนี้ WINNER แต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 2 แห่ง ได้แก่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.เคที ซีมิโก้
สำหรับราคาหุ้น IPO ของ WINNER ที่ 2 บาท/หุ้น ถือว่าเป็นราคาที่มีความจูงใจต่อนักลงทุน โดยบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีอัตราปันผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ย 6-7% ขณะที่จากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ พบว่าราคาเหมาะสมอยู่ที่ 3 บาท ซึ่งจากราคา IPO ดังกล่าวทำให้มีส่วนลดเพื่อจูงใจนักลงทุนเมื่อเทียบกับราคาเหมาะสม
"ราคา IPO 2 บาท ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะจากการวิเคราะห์ของบล.ฟินันเซียไซรัส บล.ธนชาต และบล.เคที ซีมิโก้ พบว่า ราคาเหมาะสมอยู่ที่ระดับ 3 บาท พร้อมทั้งบริษัทวินเนอร์ฯก็มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องความกังวลที่เฟดจะมีการประชุม 29-30 ก.ย.นี้ ไม่น่าจะมีผลกระทบราคาหุ้นในการเข้าซื้อขาย เพราะ WINNER เป็นหุ้นที่เหมาะกับการถือหุ้นระยะยาว ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมอาหารครบวงจรมากว่า 30 ปี" นางสาวสุวภา กล่าว
ด้านนายเจน วองอิสริยะกุล กรรมการผู้จัดการ WINNER กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นที่การคัดสรรสินค้าที่นำมาจัดจำหน่าย ซึ่งมีตราสินค้าที่มีชื่อเสียงดี มีคุณภาพสูง และมีความหลากหลายกว่า 500 รายการ โดยสินค้าทั้งหมดได้รับใบรับรองคุณภาพสินค้า ใบรับรองมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งตอบสนองความต้องการและเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร
นอกจากนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับทีมพนักงานขายที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีอาหารเพื่อให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับการใช้สินค้าโดยเฉพาะ ปัจจุบันช่องทางการจำหน่ายของบริษัทฯ ครอบคลุมทั้งในส่วนของลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและลูกค้าผู้ให้บริการทางด้านอาหารที่มีจำนวนมากกว่า 1,500 ราย รวมถึงช่องทางค้าปลีกชั้นนำทั่วประเทศกว่า 1,600 แห่ง ทำให้บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้จากการขายอย่างต่อเนื่อง
ณ สิ้นปี 55 WINNER มีรายได้รวม 1,411.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.3 ล้านบาท จากปี 54 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 56 บริษัทฯ มีรายได้รวม 663.8 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 37.3 ล้านบาท
นางสาวกนกพรรณ เกรียงไกรกฤษฎา รองกรรมการผู้จัดการ WINNER เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้ารายได้ปีนี้เป็น 10% จากเดิมที่ตั้งไว้เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากปีนี้การบริโภคในประเทศและต่างประเทศชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 600 ล้านบาท และครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะสูงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทมีสินค้าใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4/56 เป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีการบริโภคสูงทั้งในและต่างประเทศ เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการในปีนี้เติบโตได้ตามเป้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 92.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตตามรายได้
นางสาวกนกพรรณ กล่าวว่า บริษัทยังคงตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% ในช่วง 3-5 ปีจากนี้ หลังจากที่บริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งจะทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีความน่าเชื่อถือ เป็นประโยชน์ในการหาลูกค้าใหม่ๆ
ขณะที่ปี 58 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้โอกาสในการเติบโตของธุรกิจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากจะไม่มีกำแพงภาษี โดยหลังจากที่บริษัทฯเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จะนำเงินส่วนหนึ่งไปขยายคลังเก็บสินค้าจากปัจจุบัน 4,000 ตารางเมตร จะขยายเป็น 6,000 ตารางเมตร อยู่บริเวณถนนบางนา-ตราด ซึ่งจะใช้เงินลงทุนราว 30-40 ล้านบาท พร้อมทั้งจะนำไปลงทุนปรับปรุงระบบไอทีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ โดยบริษัทฯมีเป้าหมายจะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มสินค้า Non Food เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีความหลากหลายในธุรกิจ โดยปัจจุบันบริษัทฯได้มีการส่งวัตถุดิบให้กับบริษัทที่ผลิตยาและเครื่องสำอางค์ไปบ้างแล้ว แต่ยังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่มากนัก โดยเชื่อว่าใน 3-5 ปี สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้น
บริษัทยังได้มีการลงทุนเพิ่มเติมเครื่องจักรและปรับปรุงกระบวนการผลิตจาก 4.3 พันตันต่อปี เป็น 9.5 พันตันต่อปีในส่วนของโรงงานแพ็คสินค้าซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาส 4/56 ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 25 ล้านบาท
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากนำเข้ามาจำหน่าย 93% และผลิตเอง 7% โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตเองเป็น 10% และนำเข้า 90% ทั้งนี้ในส่วนของการนำเข้าบริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวน เนื่องจากได้มีการทำประกันความเสี่ยงไว้ 100%