“สาเหตุที่บริษัทฯ ตัดสินใจแตกพาร์จาก 1 บาท เป็น 0.10 บาท เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายรายมองเห็นโอกาสที่ดีในการเติบโตของธุรกิจจึงต้องการจะเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ แต่ด้วยระดับราคาหุ้นที่เกิน 100 บาท ทำให้เป็นข้อจำกัดสำหรับกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่จะเข้าลงทุนในหุ้น VGI การแตกพาร์จะทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงมาและในขณะเดียวกันจำนวนหุ้นก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น และยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนอีกหลายๆ กลุ่มเข้ามาลงทุนในบริษัทฯ ได้อย่างทั่วถึง สอดคล้องกับหลักการในการเป็นบริษัทมหาชน"ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการเงิน VGI กล่าว
ทั้งนี้ ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ VGI เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และโอกาสในการเติบโตที่สอดรับกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกบ้าน โดยผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 56/57 (เม.ย.-มิ.ย.) บริษัทฯมีรายได้รวม 861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 30%ในปีนี้ ด้านกำไรสุทธิในไตรมาสหนึ่งเท่ากับ 308 ล้านบาทหรือเติบโต 92%จากไตรมาสแรกของปีก่อน
การเติบโตของรายได้ของบริษัทฯ มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณาจากทุกธุรกิจ ทั้งสื่อโฆษณาในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส สื่อโฆษณาในโมเดิร์นเทรด และสื่อโฆษณาในอาคารสำนักงาน โดยเฉพาะรายได้จากสื่อโฆษณาในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสที่เติบโตถึง 35% และเป็นสื่อโฆษณาที่มีอัตรากำไรสูงกว่าธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทฯ
ปัจจุบัน VGI เป็นผู้ประกอบการเครือข่ายสื่อโฆษณานอกบ้านรายใหญ่ของประเทศไทย มีเครือข่ายป้ายโฆษณาภาพนิ่งขนาดใหญ่ในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส และในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ทั่วประเทศรวมกันกว่า 10,000 ป้าย มีพื้นที่โฆษณาในโซนชั้นวางสรรพสินค้าในเครือข่ายห้างค้าปลีกขนาดใหญ่กว่า 11,000 ตารางเมตร มีเครือข่ายสื่อดิจิตอลบนชานชาลาและในรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมทั้งจอดิจิตอลในสาขาของเทสโก้ บิ๊กซี วัตสัน และในอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ทั่วกรุงเทพ รวมประมาณ 4,600 จอภาพ มีพื้นที่ร้านค้าบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทั้งหมด 23 สถานี และยังมีเครือข่ายวิทยุในสาขาของโมเดิร์นเทรดรวมกันเกือบ 1,700 แห่งทั่วประเทศ