"ภาวะตลาดในช่วงนี้ที่อาจจะผันผวน แต่เราไม่มีความกังวล และมั่นใจว่าราคาไม่ต่ำกว่าราคาจอง คาดว่านักลงทุนให้การตอบรับที่ดี ซึ่งจากการเปิดขาย IPO ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ประกอบกับบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีงานในมืออยู่จำนวนมาก ไตรมาส 4 เราก็มีการประมูลงานของภาครัฐเข้ามาอีก เพราะภาครัฐจำเป็นต้องใช้งบประมาณปี 56 ให้หมดและธุรกิจของเราก็มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง มองว่าจะสร้างผลตอบแทนต่อนักลงทุนได้ สำหรับการจ่ายเงินปันผล เรามีนโยบายจ่ายไม่น้อยกว่า 40% และจ่ายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง"นางนุชนารถ กล่าว
นางนุชนารถ กล่าววา หลังจากที่ได้เงินระดมทุนจากการเสนอขาย IPO เข้ามา จะทำให้บริษัทมีศักยภาพและความแข็งแกร่งมากขึ้นทั้งในแง่ของการดำเนินธุรกิจและฐานะทางการเงิน รวมถึงสามารถตอบสนองภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังขยายตัว นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้ารุกตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และวางเป้าหมายสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการรับเหมาตกแต่งภายในที่ครบวงจรเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย
บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในปีนี้เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาท มาจากการรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้และปีหน้า อีกทั้งช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทจะเข้าประมูลงานภาครัฐหลายโครงการ มูลค่ารวม 4-5 พันล้านบาท โดยบริษัทหวังว่าจะได้รับงานราว 50% จากงานที่เข้าประมูลทั้งหมด และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 56-57
นางนุชนารถ กล่าวอีกว่า บริษัทเชื่อมั่นว่ากำไรสุทธิจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 10% ในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 56-58) เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นการรับงานที่ให้กำไรสูง
"แผนการเติบโตของกำไรเรามีแผนกำไรเติบโตฉลี่ย 10% (56-58) งานที่เราจะเข้าประมูลเรามุ่งเน้นงานที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูง เพื่อที่เราจะได้มีกำไรนำไปจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้"นางนุชนารถ กล่าว
สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทของภาครัฐ หากมีความชัดเจนออกมาบริษัทจะได้รับอานิสงส์จากงานขนาดเล็ก โดยเฉพาะงานตกแต่งที่มีโอกาสได้รับงานค่อนข้างมากในการเข้ารับงานต่อเนื่องจากผู้รับเหมารายใหญ่
"ถ้า 2 ล้านล้านบาทออกมาเราก็ได้รับอานิสงส์ในส่วนงานที่มีขนาดเล็กและงานที่เราเป็น sub contract ให้กับผู้รับเหมารายใหญ่ในส่วนงานตกแต่งภายใน จริงๆแล้วพอเราเข้าตลาดก็มีหน่วยงานรัฐบาลหลายหน่วยงานเข้ามาติดต่อให้รับงานมากขึ้น มองว่าการเป็นบริษัทมหาชนก็มีส่วนช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทได้ส่วนหนึ่ง"นางนุชนารถ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนงานภาครัฐที่ 70% และภาคเอกชน 30% เนื่องจากบริษัทมองว่าการที่มีสัดส่วนรายได้ภาครัฐมากกว่าภาคเอกชนนั้น เนื่องจากงานภาครัฐมีความเสี่ยงต่ำและสามารถเรียกเก็บเงินได้แน่นอน ต่างจากภาคเอกชนที่มีความเสี่ยงด้านการเก็บเงินในบางงาน แต่อัตรากำไรขั้นต้นของภาครัฐและภาคเอกชนยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน