แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิในปีนี้ให้อยู่ที่ 26% เนื่องจากช่องทางร้านค้าปลีกของบริษัท 140 แห่ง ให้กำไรดีกว่าช่องทางโมเดิร์นเทรด ทำให้อัตรากำไรสุทธิเติบโตได้ดี
"เป้ารายได้ปีนี้เราคาดว่าเติบโต 10-15% เป็นการปรับฐานเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ แต่ในแง่ของอัตรากำไรสุทธิก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะทำได้ 26% จากช่องทางร้านค้าปลีกของบริษัทยังให้มาร์จิ้นที่ดีกว่าช่องทางโมเดิร์นเทรด และเป็นผลจากการขยายช่องทางอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการควบคุมการผลิตให้มีประสิทธิภาพด้วย สำหรับช่องทางที่เพิ่มรายได้ของเรา บริษัทได้มีรถจำหน่ายสินค้าโมบายยูนิตแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทให้เป็นไปตามเป้าที่ได้มีการปรับฐานใหม่"นางสาวเขมินี กล่าว
สำหรับการเจรจาเข้าซื้อกิจการในประเทศ(M&A) ขณะนี้มีผู้ยื่นข้อเสนอเข้ามาประมาณ 3-4 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการเจรจาอย่างน้อย 1 รายภายในไตรมาส 1/57 โดยธุรกิจที่เจรจาอยู่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกับธุรกิจเดิม เช่น เครื่องประดับ รองเท้า และเสื้อผ้าที่ไม่ใช่รูปแบบยีนส์ ซึ่งรายได้ของบริษัทที่จะเข้าซื้อกิจการนั้นอยู่ในช่วง 300-500 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยขณะนี้ได้มีการเจรจากับพันธมิตรในมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย โดยคาดว่ามาเลเซียจะสามารถแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายได้ภายในปีนี้ ส่วนอินโดนีเซีย จะสามารถแต่งตั้งได้ภายในปี 57
"สำหรับ M&A ในประเทศก็ยังมีคุยอยู่ 3-4 ราย คาดว่าจะเห็นได้ภายในช่วงไตรมาส 1/57 อย่งน้อย 1 ราย ซึ่งธุรกิจที่จะทำ M&A ด้วยมีรายได้อยู่ที่ 300-500 ล้านบาท และรูปแบบของธุรกิจมีความแตกต่างจากเรา เช่น เสื้อผ้าที่ไม่ใช่รูปแบบยีนส์ รองเท้าและเครื่องประดับ ส่วนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศตอนนี้คาดว่าจะแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซียในปีนี้ และอินโดนีเซียจะแต่งตั้งได้ในปีหน้า ซึ่งการทำ M&A และการขยายธุรกิจไปต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเติบโตของบริษัทในอนาคต"นางสาวเขมินี กล่าว