โดยความคืบหน้าของโครงการระหว่างนี้ได้เปิดประมูลหาผู้ร้บเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว ซึ่งเมื่อผู้รับเหมายื่นราคามาก็จะรู้ต้นทุนโครงการได้ชัดเจนมากขึ้น ขณะที่ราคาเครื่องจักรในปัจจุบันต่ำลงจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลง รวมทั้งค่าแรงไม่น่าจะสูงมาก ส่วนราคาที่ดินได้ล็อกราคาไว้แล้ว โดยรวมจึงประเมินว่า มูลค่าโครงการไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากจากเดิมที่คาดไว้
"เราใช้ Corporate Finance จะใช้ส่วน Equity มากกว่าเงินกู้ หรือใช้มากกว่า 30% แต่สัดส่วนจะเป็นเท่าไร จากเงินกู้ และ Equity จะรู้ในปี 57 ประมาณไตรมาส 3 ไตรมาส 4 น่าจะรู้ราคา Final และก็จะรู้ว่าจะใช้เงินกู้เท่าไร ช่วงต้นๆก็จะใช้เงินจาก Shareholder ก่อน" นายกานต์ กล่าว
ทั้งนี้ SCC ถือหุ้นในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนาม 46% ส่วนที่เหลือ คือ ปิโตรเวียดนาม 29%และ กาตาร์อินเตอร์เนชั่นแนล 25% โดยได้ชะลอโครงการดังกล่าวประมาณ5 ปี
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนาม คาดว่าเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 58 แล้วสร้างเสร็จในปี 61 และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปลายปี 61 โดยโรงงานนี้ออกแบบให้สามารถรับวัตถุดิบประเภท Light Feed Stock ได้ 70% คือได้แก่ อีเทน โพรเพน เป็นต้นเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและ Light Feed Stock เป็นวัตถุดิบได้ราคาถูในช่วงหน้าร้อนที่ราคามีส่วนลด และโรงงานในไทยพยายามจะผลิต Light Feed มากขึ้น ส่วนอีก 30% จะรับวัตถุดิบเป็นนาฟทา
นายกานต์ กล่าวถึงโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทว่า จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 7 ปี เริ่มตั้งแต่ในปี 57 โดยโครงการนี้ทำให้เกิดความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ใช้ปูนซิเมนต์ในการก่อสร้างมากที่สุด ส่วนโครงการระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล ใช้ปูนซิเมนต์ไม่ถึง 2 ล้านตัน ส่งผลดีต่อ SCC ทำให้ SCC ลดการส่งออกปูนซิเมนต์ในปีนี้เหลือกว่า 4 ล้านต้น จากปีก่อนส่งออก 5 ล้านตัน และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าจะฟื้นตัวดีกว่าปีนี้แน่จากโครงการก่อสร้างโครงการพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งตนสนับสนุนโครงการนี้ เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันนายกานต์เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐค่อยๆดีขึ้น และคาดว่า ในไตรมาส 4/56 ธนาคารกลางของสหรัฐ(เฟด) น่าจะลดมาตรการ QE หากตัวเลขอัตราว่างงานดีขึ้น โดยขณะนี้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี ปรับขึ้น และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่พื้นฐานของประเทศไทยแข็งแกร่ง