สำหรับผลประกอบการของ SAMART ในปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในไตรมาส 3/56 คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตราว 30-40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในปีหน้าจะมีรายได้จากธุรกิจทีวีดิจิตอลเข้ามาอย่างมีนับสำคัญราว 2-3 พันล้านบาท
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SAMART กล่าวว่า ขณะนี้ กลุ่ม SAMART ได้เข้าถือหุ้น MLINK อยู่ 9% โดย SIM ถืออยู่กว่า 4% ที่เหลือเป็น บริษัท วิไลลักษณ์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด และในนามของนายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ เงินลงทุนรวมประมาณ 200 ล้านบาท จากราคาเฉลี่ย 4.30 บาท/หุ้น
การเข้ามาถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้จะมีความร่วมมือทางธุรกิจ โดย SAMART จะนำธุรกิจส่วนหนึ่งของ MLINK มาต่อยอดธุรกิจของ SIM จากที่ MLINK เป็นตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ NOKIA ก็จะทำการตลาดด้วยการนำซิมบริการ 3GX ให้ฟรีพร้อมกับตัวเครื่อง NOKIA เพื่อให้ลูกคาทดลองใช้ระยะแรก ซึ่งจะเริ่มเดือน ต.ค.นี้
ที่ผ่านมา MLINK มียอดขายโทรศัพท์ NOKIA ราว 5 หมื่นเครื่อง /เดือน ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้า 3GX ให้กับ SIM ได้มากและเร็วที่สุด ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุนการเปิดเบอร์ใหม่ถูกลงจากที่การขายซิมผ่านดีลเลอร์ มีราคา 300-500 บาท/เบอร์ ดังนั้น คาดว่าภายใน 1-2 ปี น่าจะคืนทุนได้จากการลงทุนซื้อหุ้น MLINK นอกจากนี้ยังจะทำธุรกิจใหม่ร่วมกับ MLINK ในด้านบรอดแบนด์ และดาต้าเซ็นเตอร์
"เราจะถือ MLINK ไม่เกิน 10% กลัวว่า NOKIA จะยกเลิกสัญญาเพราะจะเห็นว่าเป็น conflict กัน...การทำดีลนี้คิดว่าไม่เกิน 1 ปี MLINK น่าจะเห็นหน้าเห็นหลัง synergy กัน รู้จักนำจุดแข็งมาใช้ แล้วยังมีธุรกิจใหม่ เช่น บรอดแบนด์ ทำ Data Center ธุรกิจน่าจะสร้างรายได้มาก และมีรายได้ระยะยาว อย่าง MVNO ก็ได้.....ตอนนี้เราถือไม่เกิน 10% อนาคตก็อาจจะถือเพิ่มขึ้นก็ได้ ถ้าธุรกิจ MLINK ไปได้ดี"นายวัฒน์ชัย กล่าว
ส่วนกลุ่มของนายทอม เครือโสภณ คาดว่าเข้ามาถือ MLINK ไม่เกิน 5-6% ทังนี้ จะมีการหารือปรับโครงสร้างองค์กรของ MLINK ร่วมกันเร็วๆนี้
นอกจากนี้ SAMART จะทำธุรกิจ Trunk Mobile ร่วมกัน ที่ปัจจุบัน SAMART และ MLINK ทำการตลาดเพียง 2 รายเท่านั้น คาดว่าในปีหน้ามูลค่าตลาดจะเติบโตมากกว่า 1 พันล้านบาท จากไม่กี่ร้อยล้านบาท เพราะมีการเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอลทำให้ใช้งานได้ในระยะไกลขึ้น ที่ผ่านมาส่วนราชการใช้มาก เช่น ทหารตำรวจ รวมถึงปตท.และอนาคตจะมีลูกค้าในธุรกิจโลจิสติก ธุรกิจขุดเจาะและสำรวจปิโตรเลียม ล่าสุด กลุ่มบริษัทรับงานสร้างเครือข่ายกรุงเทพ-ระยองให้กับ บมจ.กสท โทรคมนาคม
นายวัฒน์ชัย ยังคาดว่า ภายในสัปดาห์นี้ SIM จะเซ็นสัญญากับ บมจ.ทีโอที ในการทำตลาดบริการ MVNO เฟส2 จำนวน 2.8 ล้านเลขหมาย หรือ 40% ของ capacity โดย SIM รับส่วนแบ่ง 54% ส่วนทีโอทีได้ 46% ปัจจุบัน SIM มีลูกค้า 3GX จำนวน 3 แสนราย ส่วนใหญ่เป็นแบบเติมเงิน และคาดว่าสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 6 แสนราย ที่ผ่านมามีลูกค้าเพิ่มเข้ามา 7-8 หมื่นราย/เดือน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน (ARPU) เดือนละ 100 กว่าบาท
นอกจากนี้ SIM ยังมั่นใจว่าในปีนี้จะมียอดขายโทรศัพท์เคลื่อนที่จะทำได้ 3.6 ล้านเครื่อง โดยในไตรมาส 3/56 มียอดขายมากกว่า 9 แสนเครื่อง รวม 3 ไตรมาส หรือ 9 เดือนแรกปีนี้มียอดขาย 2.7 ล้านเครื่อง
ขณะที่บมจ.สามารถเทเลคอม (SATEL) ได้เซ็นงานใหม่ราว 2 พันล้านบาท ที่เป็นงานของกรมที่ดินและบมจ.ท่าอาศยานไทย และในไตรมาส 4/56 คาดจะมีงานเข้ามาอีกมาก เพราะเป็นช่วงปิดงบประมาณ 56 ที่คงค้างอยู่ ด้าน SAMART ได้รับงานใหม่จากบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นงานทำระบบเรดาร์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 1.7-1.8 พันล้านบาท จะมีการลงนามสัญญาในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ได้ยื่นข้อเสนอกับวิทยุการบินในลาวแล้วคาดว่าก่อนสิ้นปีนี้น่าจะรู้ผล
นายวัฒน์ชัย คาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาสที่ 3/56 จะดีกว่าไตรมาส 3/55 ประมาณ 30-40% และคาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 56 จะเติบโต 50%จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.07 พันบ้านบาท ส่วนรายได้รวมทั้งปี 56 ยังคงเป้า 3 หมื่นล้านบาท แต่หากการทีโอที อนุมัติโครงการ 3G เฟส 2 มูลค่า 2 หมื่นล้านบาทล่าช้าหรือไม่ทันปีนี้จากเดิมคาดว่าจะอนุมัติในเดือน ส.ค.นี้ ก็อาจจะทำให้รายได้รวมอาจทำได้เพียง 2.3-2.4 หมื่นล้านบาท
และในปี 57 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากทีวีดิจิตอลเพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ หรือประมาณ 2-3 พันล้านบาท โดยบริษัทเตรียมจำหน่าย Set Top Box แปลงสัญญานเป็นระบบดิจิตอล คาดว่าอย่างน้อยขายได้ 1-2 ล้านกล่อง เบื้องต้นสั่งนำเข้ามาประกอบในไทย 3-4 แสนกล่องแล้ว รวมทั้ง บริษัทจะเข้าร่วมประมูลติดตั้งโครงข่ายระบบดิจิตอลให้กับผู้ที่ได้ใบอนุญาต ได้แก่ บมจ.อสมท. (MCOT) ช่อง 5 ช่อง11 และไทยพีบีเอส ที่จะมีการประมูลในเดือน ต.ค.นี้ โดยมี บมจ.ล็อกซเลย์ (LOXLEY)เป็นคู่แข่งสำคัญ และบริษัทจะเข้าร่วมประมูลใบอนุญาตทำช่องรายการข่าวที่ร่วมมือกับทางสยามกีฬาด้วย