ขณะที่ บล.ทิสโก้ คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยปีนี้เติบโตราว 4%
อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้ คาดว่า SET Index ในช่วงกลางเดือน ต.ค.56 จะปรับตัวลงไปต่ำสุดที่ระดับ 1,380 จุด โดยมองว่าจะมาจากปัจจัยลบที่สหรัฐไม่สามารถปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะได้ทันเวลา ขณะที่ประเด็นเรื่องงบประมาณรายจ่ายปี 57 นั้น คาดว่าสหรัฐจะพิจารณาเสร็จสิ้นไปได้ในเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
พร้อมแนะนำ ลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มขนส่ง และกลุ่มท่องเที่ยว เพราะได้รับประโยชน์ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่จะนำมาใช้ในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าปลายเดือนต.ค.นี้จะผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนทั้งหมด รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวยังหลั่งไหลเข้าไทยต่อเนื่อง
สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยในปี 57 คาดว่า SET Index จะแตะระดับ 1,650 จุดได้ โดยในช่วงไตรมาส 1/57 จะมีแรงซื้อหุ้นเพื่อเก็งผลประกอบการประจำปี 56 และรอเงินปันผลที่จะมีการประกาศจ่ายในช่วง มี.ค.-เม.ย.57 ซึ่งปกติจะส่งผลกระตุ้นแรงซื้อเข้ามาในช่วงไตรมาสแรกของปี
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังของปี 57 ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มไม่ดีนัก รวมไปถึงตลาดหุ้นที่เกิดใหม่ทั่วโลก เนื่องจากคาดว่าสหรัฐจะยกเลิกมาตรการ QE อย่างถาวรในช่วงกลางปีหน้า หลังจากเริ่มทยอยลดขนาดลงตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค.56 เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนขึ้น และตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว อย่างเช่น สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น ตามกระแสเงินลงทุนที่ไหลกลับเข้าไปส่วนหนึ่ง และเงินลงทุนอีกส่วนหนึ่งคงจะไหลเข้าไปลงทุนโดยตรงในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
"ครึ่งปีหลังปีหน้าสภาพตลาดเกิดใหม่จะไม่ค่อยดีหลังเฟดยกเลิก QE ถาวรกลางปีหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นที่เคยแย่ในปีนี้จะเริ่มกลับมาดีขึ้น เงินจะไหลกลับไปในตลาดดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น และส่วนหนึ่งจะไหลไปสู่ Direct Investment ในภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริงมากขึ้น ครึ่งปีหลังปีหน้าตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุนไทยอาจจะไม่ค่อยดี แต่จะดีในช่วงไตรมาส 1/57 ซึ่งมีแรงกระตุ้นจากการซื้อเก็งงบปีหน้าและรอปันผล"นายวิวัฒน์ กล่าว
ด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยหลังสหรัฐยกเลิก QE ก็คงปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นชัดเจนต้นปี 58 โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่คาดว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นช่วงต้นปี 58 เป็น 1.00-1.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.25% ส่งผลให้ธนาคารกลางในทุกประเทศต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตามเพื่อป้องกันกระแสเงินไหลออก และจะกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดที่มีผลตอบแทนค่อนข้างต่ำและราคาหุ้นแพง
"ปี 58 อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มสูงขึ้นตามกัน เชื่อว่าเฟดหลังจากยกเลิก QE แล้วก็จะมีการส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 57 และจะปรับขึ้นในปี 58 แบงก์ชาติทุกประเทศก็จะต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นตามกันเพื่อกันเงินไหลออก สภาพตลาดหุ้นในปี 58 ก็คงไม่ดีทั่วโลก เพราะผลตอบแทนต่ำ แต่นักลงทุนยังยอมรับราคาหุ้นที่เทรดกันที่ค่า P/E สูงได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแนะนำให้นักลงทุนทยอยปรับลดพอร์ตหุ้นลง และแบ่งไปลงทุนในตราสารหนี้และกองทุน เพราะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้น"นายวิวัฒน์ กล่าว