ขณะเดียวกัน หากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ประสงค์จะนำคลื่นความถี่ดังกล่าวไปประมูล ดีแทคก็ยินดีที่จะคืนคลื่นดังกล่าวเพื่อให้นำไปประมูลในปี 2557 ทั้งนี้ ดีแทคพร้อมที่จะดำเนินการให้บริการในทั้ง 2 แนวทางเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและพัฒนาการที่รวดเร็วของเทคโนโลยี 4 จี ที่เกิดขึ้น
นายจอน กล่าวว่า การที่บริษัทเลือกดำเนินการในทั้ง 2 ทางเลือกข้างต้น ก็เพราะ DTAC มีความพร้อมและมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยี 4G LTE ที่ทันสมัยมาสู่ประเทศไทย ด้วยเหตุนี้จึงเลือกที่จะดำเนินการทั้ง 2แนวทางไปพร้อมๆ กัน
"ผู้บริหารระดับสูงของดีแทคได้เริ่มต้นเจรจากับทาง กสท แล้ว โดยพิจารณาการใช้รูปแบบธุรกิจแบบขายส่ง-ขายต่อบริการ คล้ายกับสัญญาที่ กสท ได้ลงนามกับกลุ่มบริษัทอื่นไปก่อนหน้านี้ โดยดีแทคจะหารือรูปแบบธุรกิจร่วมกับ กสทและทำงานร่วมกันกับ กสท รวมถึงผู้เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อให้ได้ผลสรุปรูปแบบธุรกิจที่นำมาใช้ในการให้บริการ 4 จีได้อย่างมีประสิทธิภาพ"นายจอน กล่าว
อย่างไรก็ดี การนำคลื่นความถี่ที่ยังไม่ได้ใช้งานดังกล่าวไปประมูลในเดือนกันยายน 2557 ยังคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในระยะยาว ดังนั้น หาก กสทช ประสงค์จะนำคลื่นความถี่ดังกล่าวไปประมูลในเดือนกันยายน 2557 นี้ DTAC ก็ยินดีและไม่ขัดข้อง
อนึ่ง การจัดการประมูลล่วงหน้าก่อนหมดสัญญาสัมปทานจะยิ่งส่งเสริมเรื่องความโปร่งใสและชัดเจนในการจัดการบริหารคลื่นความถี่จาก กสทช. ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะวางแผนลงทุนล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันผู้ใช้บริการก็สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ใช้บริการอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องมีการกำหนดมาตรการเยียวยาอีก
หากเทียบเคียงกับราคาประมูลขั้นต่ำ (Reserve Price) ที่ตั้งไว้สำหรับคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิรตซ์ มูลค่าของคลื่น DTAC ที่ยังไม่ได้ใช้งานน่าจะมีมูลค่ามากกว่า 22,000 ล้านบาท หากรวมคลื่นดังกล่าวกับคลื่น จำนวน 25.2 เมกะเฮิรตซ์ ของทรูมูฟและดีพีซีและคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ของเอไอเอส จำนวน 20 เมกะเฮิรตซ์ และนำคลื่นทั้งหมดมาประมูลพร้อมกันในปี 2557 ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่รัฐได้มากกว่า 62,725 ล้านบาท