(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งลง-ผันผวน รอติดตามศาลรธน.วินิจฉัย พ.ร.บ.งบปี 57

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 4, 2013 09:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกร ไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะปรับตัวลงและผันผวนจากแรงขายทำกำไร หลังจากวานนี้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างแรง เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 57 จะผ่านการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้
"มองว่าถ้าวันนี้ศาลพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 57 ผ่านหรือไม่ ในวันนี้ก็จะมีแรงขายออกมาส่วนหนึ่งเช่นกัน และการที่ตลาดขึ้นค่อนข้างแรงเมื่อวานวันนี้ คาดว่าในวันนี้ก็อาจปรับตัวลงหรือผันผวนบวกลบก็ได้"นายกิจพล กล่าว

นอกจากนี้ ปัจจัยทางฝั่งสหรัฐฯเกี่ยวกับการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 57 ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน ซึ่งสถานะการณ์ยืดเยื้อเป็นวันที่ 3 จะมีผลส่งต่อไปถึงการพิจารณาขยายหนี้สาธารณะในกลางเดือนต.ค.นี้ ซึ่งทำให้ momentum การลงทุนเป็นลบกดดันตลาด

"momentum การลงทุนต่อไปจะเป็นลบถ้าสถานะการณ์ในสหรัฐยังยืดเยื้อ วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว และจะส่งผลไปถึงการพิจารณา Debt ceilling กลางเดือนนี้ ทำให้ระยะสั้นตลาดเอเชียจะ Outperform มากกว่าตลาดสหรัฐฯและยุโรป จากกระแสเงินไหลเข้าตลาดในเอเชียในช่วงที่สถานะการณ์ในสหรัฐฯยังไม่มีความชัดเจน"นายกิจพล กล่าว

ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียช่วงเช้าส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ จากปัจจัยสหรัฐกดดัน และค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นมาก ทำให้ค่าเงินสกุลอื่นในเอเชียอ่อนค่าลง

พร้อมให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีในวันนี้ 1,400-1,450 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อวานนี้(3 ต.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 14,996.48 จุด ลดลง 136.66 จุด(-0.90%), ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,678.66 จุด ลดลง 15.21 จุด(-0.90%)และดัชนีแนสแด็กปิดที่ 3,774.34 จุด ลดลง 40.68 จุด (-1.07%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 127.52 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 162.85 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 13.20 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.45 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 10.55 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 0.37 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.08 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ลดลง 9.50 จุด

ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุดเฉลิมฉลองวันชาติ

  • ตลาดหุ้นไทยปิดเมื่อวานนี้(3 ต.ค.)ที่ 1,429.18 จุด เพิ่มขึ้น 20.19 จุด (+1.43%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 133.76 ล้านบาท เมื่อ 3 ต.ค.56
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการวานนี้(3 ต.ค.)ที่ 103.31 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 0.79 ดอลลาร์ฯ
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดวานนี้(3 ต.ค.)ที่ 3.67 เหรียญฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.26 แกว่งแคบ สหรัฐเลื่อนประกาศตัวเลขศก.หลังปิดหน่วยงาน
  • อุตสาหกรรมเปิดแผนพัฒนาระยะ 20 ปี ดันธุรกิจไทยเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตเข้ากับอาเซียน พัฒนาตราสินค้ายกระดับภาพลักษณ์สินค้าไทยขึ้นระดับภูมิภาคและระดับโลก สศช.แนะภาคอุตสาหกรรมไทยปรับตัวรับ 6 เทรนด์ใหม่ พร้อมเพิ่มงบวิจัยและพัฒนาแปรผลไปสู่การผลิตหนีคู่แข่ง ส.อ.ท.แนะเอสเอ็มอีผนึกกำลังรับมือโลกเปลี่ยน
  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย.ตกต่ำสุดในรอบ 12 เดือน มาอยู่ที่ 77.9 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะซึมระยะยาวและยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน
  • สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา เงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศยังไหลเข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทยอย่างต่อเนื่องแต่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร โดยในวันที่ 1 ต.ค.ที่สหรัฐปิดหน่วยงานบางแห่ง มีเงินทุนไหลเข้ามาซื้อในตลาดตราสารระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี สุทธิ 5,000 ล้านบาท แต่ต่อมาวันที่ 2 ต.ค. นักลงทุนกลับขายสุทธิ 1,500 ล้านบาท
  • แบงก์ชาติร่อนหนังสือถึงธนาคารพาณิชย์ จี้ยกระดับการให้ข้อมูลลูกค้า เน้นรับรู้สิทธิต่างๆ ที่ควรรู้อย่างถูกต้อง หวังป้องกันลูกค้าไม่เข้าใจตัวผลิตภัณฑ์ พร้อมยกระดับการให้บริการ เผยให้เวลา 3 เดือนเริ่มดำเนินการ ด้านนายแบงก์ฯ ยอมรับรายได้ ส่อหดหลัง ธปท. คุมเข้ม ส่วนปัญหา สภาพคล่องแม้ตึงตัว แต่ยังไม่น่าห่วง เชื่อแบงก์ชาติ ดูแลได้ ชาติศิริมั่นใจสินเชื่อทั้งปีโตเข้าเป้า 6-7%
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า การชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนขยายการลงทุน คล้ายกับการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อลดต้นทุนชั่วคราวซึ่งสามารถทำได้เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องสะท้อนภาพของกำลังซื้อที่ลดลง

*หุ้นเด่นวันนี้

  • THCOM(เคเคเทรด)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 38 บาท คาดปีนี้กำไรเติบโตเด่นสุด โดยคาด 3Q56 กำไรสุทธิ 308 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ 107 ล้านบาทใน 3Q55 แม้ราคาหุ้นเหลือ Upside จำกัด แต่เห็น Upside ส่วนเพิ่มจากการปรับมูลค่าเหมาะสมอิงฐานกำไรสุทธิปี 57 ทำให้มีมูลค่าเหมาะสมปีหน้าที่ 42 บาท และมูลค่าหุ้นเพิ่มจากดาวเทียมไทยคม 7 ยังไม่รวมในประมาณการ
  • LH(เคเคเทรด)"ซื้อ"เป้า 14 บาท ยอดขาย 3Q56 ทำได้สูงสุดเทียบกับทั้งปีที่ 9.5 พันล้านบาท ทำให้งวด 9 เดือนทำได้ 2.44 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 81% ของเป้าทั้งปีที่ 3 หมื่นล้านบาท คาด 3Q56 จะเติบโตเทียบQoQ และ YoY จากการโอนคอนโดฯ The Room สุขุมวิท 21 ต่อเนื่อง และ North 8 คาด 4Q56 ยังทำได้ดีจากโอนคอนโดฯอีก 2 แห่ง กำไรสุทธิทั้งปีราว 6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%YoY
  • BAY(ฟินันเซีย ไซรัส)ธปท.อนุมัติให้กลุ่ม MUFG ควบรวมกิจการกับ BAY การประชุมผู้ถือหุ้น 31 ต.ค.หากได้รับคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 75% ของผู้ที่เข้าประชุม คาดว่า BAY น่าจะตั้งโต๊ะ Tender offer (39 บาท) ราวกลางพ.ย. ถึงปลาย ธ.ค. เป็นเวลา 25-45 วัน
  • HMPRO(ฟินันเซีย ไซรัส)คาดกำไรสุทธิ 3Q13 +4% Q-Q, +22% Y-Y ดีสุดในกลุ่มค้าปลีกที่ส่วนใหญ่มักชะลอลงเพราะเป็น low season แต่ปรับกำไรปีนี้ลงเล็กน้อย 6% เป็นโต 15% Y-Y เพราะการเปิดสาขาแบบใหม่ Mega Home ใน 4Q13 ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่าคาด ส่วนกำไรปี 2014 คาดโตต่อ 20% ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2014 ที่ 16.50 บาทก่อน XD ทั้งนี้บริษัทจะขึ้น XD (หุ้นปันผล 6:1) 28 ต.ค.เป้าหมายหลัง XD เป็น 14 บาท
  • DSGT(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้าปีหน้า 12.60 บาท คาดกำไร 3Q13 -21% Q-Q เพราะต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีสูงขึ้นเล็กน้อยและมีค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายในช่วง 3Q ของทุกปี แต่ต้นทุนวัตถุดิบยังต่ำกว่าปีก่อนมาก ทำให้คาดกำไร +54% Y-Y โดยยังคงมองบวกต่ออุตสาหกรรมผ้าอ้อมและคงประมาณการกำไรปีนี้โต 17% ปีหน้าโต 14%
  • VGI(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 15.20 บาท คาดกำไร 2Q14 (ก.ค.-ก.ย.13) ดีต่อ +12% Q-Q, +37% Y-Y แม้รายได้ค่าโฆษณาใน Modern trade ชะลอตามเศรษฐกิจ แต่ชดเชยได้จากสื่อรถไฟฟ้าที่มีตู้โดยสารเพิ่มและปรับขึ้นค่าโฆษณาตั้งแต่ต้นไตรมาส
  • TRUE(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 10.10 บาท ที่ประชุมผู้ถือหุ้น 7 ต.ค.จะอนุมัติการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 60,000-80,000 ล้านบาท เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อปัจจัยพื้นฐานและฐานะการเงิน เบื้องต้นประเมินจะได้รับเงินสดราว 4.4-5.2 หมื่นล้านบาท และหากนำเงิน 60% ไปชำระหนี้จะส่งผลให้ Net Debt/EBITDA ลดลงจากเกือบ 5 เท่า เหลือเพียง 1.7-2.5 เท่า และลดดอกเบี้ยถึง 2.3-3 พันล้านบาทต่อปี และเป็น Upside Risk ต่อประมาณการกำไรปี 57

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ