"เจ้าพระยามหานคร"จะขาย IPO 250 ล้านหุ้น ใช้คืนเงินกู้-ลงทุนอสังหาฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 4, 2013 10:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เปิดเผยว่า บมจ.เจ้าพระยามหานคร ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2556 เนื่องจากบริษัทมีความต้องการจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน(IPO)จำนวน 250 ล้านหุ้น และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) โดยมี บล.เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ชำระเงินกู้, ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

กลุ่มเจ้าพระยามหานคร ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นที่พักอาศัยเป็นหลัก ได้แก่ คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม โดยเน้นทำเลที่ตั้งโครงการตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล นอกจากนี้มีพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า และประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง โครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 1.5-3.5 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ"ชาโตว์ อินทาวน์" "แบงค์คอก เฟ'ลิซ"และ "แบงค์คอก ฮอไรซอน" บ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อ"เดอะริช พระราม 2"และ ทาวน์เฮ้าส์ทาวน์โฮมภายใต้ชื่อ "คาซ่า ยูเรก้า"และ"คาซ่า ดีว่า"

ผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 6 เดือนของปีนี้มีรายได้รวม 706.79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 85.61 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 4,165.11 ล้านบาท หนี้สินรวม 2,927.82 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 1,237.29 ล้านบาท

บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 750 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 750 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะมีทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ 3 อันดับแรก ณ วันที่ 15 มีนาคม 2556 เป็นกลุ่มแพทยานันท์ ได้แก่ นายวิเชียร แพทยานันท์ ถือหุ้น 87,095,000 หุ้น หรือคิดเป็น 11.61% หลังขาย IPO แล้วจะลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 8.71%, นายนริศ แพทยานันท์ ถือหุ้น 78,900,000 หุ้นหรือคิดเป็น 10.52% หลังขาย IPO จะลดเหลือ 7.89% และน.ส.อนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์ ถือหุ้น 78,150,000 หุ้นหรือคิดเป็น 10.42% หลังขาย IPO แล้วจะลดเหลือ 7.81%

บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติลุคคลสำรหรับงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯได้กำหนดไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ