"จะเกิดผลเสียต่อผู้แข่งขันที่ยังไม่ผ่านกองทุนได้ประโยชน์ทางภาษีไม่เท่ากัน รวมถึงภาครัฐและกรมสรรพากรที่ต้องเสียประโยชน์จากการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วย จึงอยากให้กรมสรรพากรช่วยเร่งดำเนินการในปัญหาดังกล่าว"นายชาลี กล่าว
นายชาลี ยังกล่าวอีกว่า ช่วงที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้ผลักดันการปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่างๆที่ใช้ในประเทศไทย ให้มีความเทียบเคียงกับมาตรฐานสากล เพื่อรองรับการเสนอขายหลักทรัพย์ข้ามตลาด หรือข้ามประเทศ อย่างเช่น การเสนอขายหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนไทยในตลาดหุ้นต่างประเทศ หรือนำหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนต่างประเทศมาเสนอขายในตลาดหุ้นไทย รวมถึงกองทุนรวมและตราสารหนี้ด้วย
"สิ่งที่เราจะทำ คือ ทำให้เป็นไปตามแนวโน้มของโลก ปรับเกณฑ์ของไทยให้เป็นสากลให้เทียบเคียงได้ เมื่อบริษัทของไทยมีความพร้อมที่จะไปขายในต่างประเทศก็จะช่วยให้เข้าไประดมทุนได้สะดวก หรือหาก บลจ.เข้าไปขายกองทุน ก็จะสามารถตั้งกองทุนในไทยและเข้าไปขายในต่างประเทศได้"นายชาลี กล่าว
สำหรับสิ่งที่ ก.ล.ต.ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ การลงนามในบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น(MOU) กับ ก.ล.ต.ของสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กองทุน หรือกฎเกณฑ์ต่างๆเป็นไปในทางเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม เอกชนต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเร่งผลักดันตัวเองด้วย