การเพิ่มทุนแบ่งเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 เสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) จำนวน 2,000 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท อัตราส่วน 5.975 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ เพื่อใช้สำหรับยกระดับและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการ การจัดซื้อระบบรถไฟฟ้า ตลอดจนดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆ ในธุรกิจ
ส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3 เป็นการเสนอขายหุ้นให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) คือ บมจ.ช.การช่าง (CK) จำนวน 4,200 ล้านหุ้น และเจ้าหนี้สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ทหารไทย กรุงศรีอยุธยา และธนชาต จำนวน 2,350 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาท รวมจำนวน 6,550 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยค้างชำระ โดยบริษัทฯ มีกำหนดจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2556 ในวันที่ 11 พ.ย.56
ทั้งนี้ การเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นหลัก คือ CK และกลุ่มเจ้าหนี้สถาบันการเงิน โดยการเพิ่มทุนในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 มีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.56 สำหรับส่วนที่ 3 กำหนดแล้วเสร็จภายในมี.ค.57 หลังจากที่กระบวนการเพิ่มทุนและแปลงหนี้เป็นทุนเสร็จสิ้นแล้วจะส่งผลให้ D/E ลดลงมาต่ำกว่า 1.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 33 เท่ากว่า
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทได้รับสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญาที่ 4 สัญญาสัมปทานสำหรับการลงทุน การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการการเดินรถไฟฟ้า และซ่อมบำรุงรักษา โดยลงนามสัญญากับ รฟม. เมื่อวันที่ 4 ก.ย.56 และบริษัทพร้อมบริหารจัดการการเดินรถไฟฟ้าได้ทั้งสายสีน้ำเงิน (สายเฉลิมรัชมงคล) และสายสีม่วง บางใหญ่ — ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในอนาคตอันใกล้
ตลอดจนความสามารถของบริษัทที่รักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีและมีคุณภาพ มีความปลอดภัยและตรงต่อเวลา ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้โดยสารในการใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการในระบบรถไฟฟ้า MRT เติบโตแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันมีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันประมาณ 300,000 เที่ยวโดยสาร ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นตามลำดับ
นายชัยวัฒน์ คาดว่า ผลประกอบการของ BMCL จะพลิกมามีกำไรได้ในปี 59 หลังจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะเปิดเดินรถในช่วงกลางปี 59 ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ในช่วงปลายปี ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยประเมินว่าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนเที่ยวโดยสาร/วัน จากปีหน้าที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 4 แสนเที่ยวโดยสาร/วัน จากการเพิ่มจำนวนขบวนรถ
หลังจากที่บริษัทมีกำไรแล้วก็จะเริ่มล้างขาดทุนสะสมทันที โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี จากนั้นยืนยันว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตามนโยบาย 40% ของกำไรสุทธิ
“เราคาดว่าบริษัทฯจะกลับมามีกำไรได้ในปี 59 จากการที่ได้เข้าบริหารรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่จะทำให้เรามีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งหลังจากที่เรามีผลประกอบการออกมาเป็นกำไรแล้ว เราก็จะเริ่มล้างขาดทุนสะสมทันที ก็คาดว่าจะใช้เวลาล้างขาดทุนสะสมประมาณ 4-5 ปี โดยหลังจากที่มีการล้างขาดทุนสะสมหมดแล้วเราก็มีนโยบายปันผล 40% ของกำไร"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าจะมีความชัดเจนหลังจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มเปิดดำเนินการ
“เรามีการศึกษาการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังไม่ออกในตอนนี้เพราะเราจะรอให้สายสีม่วงเปิดดำเนินการก่อน เพื่อจะให้เห็นรายได้ที่เข้ามาอย่างชัดเจน เราไม่อยากที่จะเอากระแสรายได้ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน เพราะถ้าเรารอรายได้เข้ามาชัดเจนจะทำให้เห็นภาพของกองทุนดูชัดเจน สวยงามมากขึ้น"นายชัยวัฒน์ กล่าว