บริษัทต้องการทำสินค้าที่เป็นทางเลือกใหม่ที่สร้างความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์หรือคอนโด ที่เน้นดีไซน์ที่สวยเรียบนิ่งอยู่ได้นานและตั้งอยู่บนหลักการของการใช้งานจริงของผู้อยู่อาศัย เสนอฟังชั่นใหม่ๆให้ที่ใช้ได้จริงเหมาะกับความต้องการพื้นฐานและไลฟ์สไตล์ที่ต่างไปจากเดิมของกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ นอกจากคุณสมบัติดังกล่าวจะทำเพื่อดึงดูดผู้อยู่อาศัยแล้ว “เอคิว เอสเตท (AQ Estate)" ก็ต้องการจะทำสินค้านั้นที่ถูกใจเหล่านักลงทุนด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือยาว
ปัจจุบัน KMC มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมาก โดยมี Cash on hand และ Asset ประมาณ 4,000ล้านบาท อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำกว่า 0.25 เท่า มีฐานลูกค้าเดิมมากกว่า 2,000 ราย ขณะเดียวกันราคาหุ้นในกระดานก็ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value)ซึ่งสิ้นสุดไตรมาส 2/2556 อยู่ที่ 0.7 บาทต่อหุ้น
ฉะนั้น เมื่อ KMC และ อควาเรียส มารวมกันจะก่อให้เกิด Synergy เสริมธุรกิจซึ่งกันและกันให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะขยับขึ้นเป็นผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำติดอันดับ TOP10 ของประเทศภายใน 3 ปีข้างหน้า
"การรวมตัวด้านการบริหารระหว่างทีมงานของ กฤษดามหานครและอควาเรียส เอสเตท ทำให้บริษัทมีความเข็มแข็งยิ่งกว่าเดิม เพราะเป็นการรวมกันที่ลงตัวเติมเต็มจุดแข็งที่ต่างกัน ทำให้ผมมั่นใจว่าต่อจากนี้ทุกท่านจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม และทุกก้าวที่เราเดินไปเป็นการก้าวอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง เนื่องจาก KMC มีความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน หลังจากมีการเพิ่มทุนเมื่อ เดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมามีฐานลูกค้าเก่าที่ดีและมีจำนวนมาก สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง แล้วตอนนี้ก็มีทีมงานของอควาเรียส เอสเตท เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในแนวรุก"นายยงยุทธ กล่าว
อนึ่ง “อควาเรียส เอสเตท" ก่อตั้งขึ้นในเดือน มิ.ย.48 นำโดยนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 20 ปี ประกอบธุรกิจบริการพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์อย่างสมบูรณ์แบบครบวงจรให้ผู้ลงทุนหรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่น(Project Management) ปัจจุบันบริหารการขายรวม 5 โครงการ รวมมูลค่ารับบริหารกว่า 7,260 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมรวม 3 โครงการ (กรุงเทพฯ 2 โครงการและหัวหิน 1 โครงการ), ทาวน์เฮาส์ สาทร-พระราม 3 รวม 1 โครงการ และโรงแรมใน จ.กระบี่อีก 1 โครงการ
นายยงยุทธ คาดว่า ในปี 56 จะมียอดขายประมาณ 2,300 ล้านบาท และในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการแบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ที่เหลืออีก 2 โครงการเป็นโครงการแนวราบ และเตรียมเงินลงทุนมูลค่า 200 ล้านบาท สำหรับซื้อที่ดินใหม่ 1 แปลง เพื่อรองรับโครงการที่จะเปิดใหม่ในอนาคตมูลค่าโดยประมาณ 1,400 ล้านบาทอีกด้วย ส่วนในปี 57 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,500 ล้านบาท
ในส่วนของรายได้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท จากโครงการของบริษัทที่เหลือขายจำนวน 1.4-1.5 พันล้านบาท และมาจากรายได้อื่นๆ เช่น การรับจ้างบริหารพัฒนาโครงการ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 2% การร่วมทุนพัฒนาโครงการ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 1% และการรับจ้างบริหารโรงแรมและอื่นๆ 8% สำหรับการพัฒนาโครงการที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัท ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 89%
นอกจากนี้ ในปี 57 บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท และเตรียมเปิดอีก 3 โครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/56 มูลค่ารวม 2.46 พันล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยวเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา มูลค่า 330 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมย่านรัตนาธิเบศร์ มูลค่า 1.2 พันล้านบาท และบ้านเดี่ยวเลี่ยงเมืองชลบุรี มูลค่า 930 ล้านบาท รวมถึงได้เตรียมงบซื้อที่ดินมูลค่า 200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับพัฒนาโครงการใหม่ พร้อมกันนนี้บริษัทยังตั้งเป้าเข้าสู่การเป็นหนึ่งในสิบผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ภายใน 3 ปีข้างหน้า ด้วยธุรกิจพัฒนาโครงการทั้งการเช่าและการขาย
ทั้งนี้บริษัทมีแผนในการล้างขาดทุนสะสมให้หมดในช่วงไตรมาส 2/57 ซึ่งปัจจุบันมีขาดทุนอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท โดยใช้วิธีการลดพาร์เหลือ 0.65 บาท/หุ้น จากเดิม 20 บาท/หุ้น เพื่อลดส่วนต่ำมูลค้าหุ้น ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 2/57
นายยงยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า มุมมองในการเข้าซื้อหุ้นของ KMC ในอนาคตอาจจะมีโอกาสที่จะเข้ามาเก็บหุ้นเพิ่มขึ้น ถ้าหุ้น KMC มีราคาที่ดีและบริษัทมีเงินทุนเพียงพอในการซื้อหุ้น ซึ่งปัจจุบันนายยงยุทธถือหุ้นสัดส่วน 3% หรือ 90 ล้านบาท
"การเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มของผมในอนาคตก็อาจจะมีการเข้าไปเก็บหุ้นได้เพิ่มขึ้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับราคาและเงินทุนของผมในการเข้าไปซื้อหุ้น แต่ก็มองว่าบริษัทมีอนาคตและมีพื้นฐานที่ดี เป็นบริษัทที่น่าลงทุน ตอนนี้ผมถือหุ้นอยู่ 3% ประมาณ 90 ล้านหุ้น" นายยงยุทธ กล่าว
ด้านนายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ KMC เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและสรรหาผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 5,000 ล้านหุ้น ราคา 0.53 บาท/หุ้น ซึ่งจะครบกำหนดการเสนอขายหุ้น PP ในเดือนเม.ย.57 โดยก่อนหน้านี้มีกลุ่มผู้สนใจเข้ามาซื้อหุ้น PP ของบริษัททั้ง 7 ราย แต่เนื่องจากราคาหุ้น PP ในขณะนั้นสูงกว่าราคาในตลาด ทำให้กลุ่มผู้สนใจทั้ง 7 รายไม่ได้ใช้สิทธิในการซื้อหุ้น PP ซึ่งจะครบกำหนดการชำระวันที่ 30 ก.ย.56
"ตอนนี้ฝ่ายจัดการอยู่ระหว่างการเจรจาและสรรหากลุ่มใหม่เข้ามาซื้อหุ้น PP ของบริษัท หลังจากกลุ่มผู้สนใจเดิมทั้ง 7 รายไม่ได้ใช้สิทธิในการซื้อหุ้น PP เนื่องจากราคาหุ้น PP 0.53 บาท สูงกว่าราคาหุ้นบนกระดานในขณะนั้น ที่ครบกำหนดในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ แต่ยังมีระยะเวลาในการสรรหาคนเข้ามาซื้อหุ้น PP ได้ถึง เม.ย.ปีหน้า"นายวิรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น PP จะนำเงินไปใช้สำหรับซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต