แม้ว่ากำไรในไตรมาส 3/56 (จะประกาศ 30 ต.ค.)จะอ่อนตัวลงเทียบกับไตรมาส 2/56 แต่ก็ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/55 เป็นผลจากสเปรดปิโตรเคมีอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้างชะลอตัวในช่วงโลว์ซีซั่น และไตรมาส 4/56 ปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมี 45 วัน จึงคาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังปี 56 จะต่ำลงจากครึ่งปีแรก
นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจระยะยาวจะขยายตัวต่อเนื่อง จากการขยายการลงทุนในช่วง 5 ปีนี้จำนวน 2.5 แสนล้านบาท ทำให้บริษัทจะขยายตลาดอาเซียนได้อย่างมากจากการลงทุนต่อเนื่องและเชื่อว่าจะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่จะมีกำไรเติบโตทุกปี
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เมย์แบงก์กิมเอ็งฯ ซื้อ 550.00 บล.เอเชียพลัส ซื้อ 545.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 540.00 บล.เคจีไอฯ ซื้อ 535.00 บล.ฟิลลิป ซื้อ 510.00 บล.ไอร่า ซื้อ 485.00
นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า แนะนำ"ซื้อ"หุ้น SCC มาโดยตลอด เหตุผลหลักจากบริษัทขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยงบลงทุนในช่วง 5 ปีนี้จำนวน 2.5 แสนล้านบาท หรือปีละ 5 หมื่นล้านบาท เน้นการลงทุนในกลุ่มอาเซียน ได้แก่ โรงปูนซิเมนต์ในพม่าที่ใช้งบ 1.2 หมื่นล้านบาท โรงปูนซิเมนต์ในอินโดนีเซีย ลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท
ก่อนหน้านี้ได้ลงทุนในกลุ่มวัสดุก่อสร้างในอินโดนีเซีย ส่วนกลุ่มกระดาษลงทุนในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม และยังมีโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม
ธุรกิจของ SCC สามารถสร้างกระแสเงินสดได้มาก ปีละประมาณ 4-6 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมีเงินสดในมือสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท และจากการขยายการลงทุนต่อเนื่องสามารถสร้างกำไรให้บริษัทต่อเนื่องด่วยเช่นกัน โดยปี 56 คาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง 48% จากงวด 9 เดือนที่มีกำไรสุทธิแล้ว 2.7 หมื่นล้านบาท และในปี 57 คาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มเป็น 4.2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 22% จากปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ตลาดผันผวน โดยเฉพาะในเดือนต.ค.ทำให้ราคา SCC ปรับตัวลงตาม ส่วนหนึ่งเพราะนักลงทุนต่างชาติถืออยู่มาก และมีการขายทำกำไรออกมาก
นายดนัย ตุลยาพิศิษฐ์ชัย นักวิเคราะห์จาก บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/56 ของ SCC คาดมีกำไรสุทธิ 9.1 พันล้านบาท ลดลง 11% จากไตรมาส 2/56 แต่เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/55 เนื่องจากธุรกิจปูนซิเมนต์เป็นช่วงโลว์ซีซั่น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีสเปรดหรือส่วนต่างผลิตภัณฑ์ในระดับที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/55 แต่อ่อนตัวลงจากไตรมาส 2/56
ทั้งนี้ SCC จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/56 ในวันที่ 30 ต.ค.นี้
"เราดูไปข้างหน้า SCC ก็ยังโอเค ปิโตรเคมีอยู่ในวงจรต่ำสุด ปีถัดไปก็น่าจะดีขึ้น ดูแล้วอุปทานน่าจะเข้ามาน้อยกว่าเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา และตลาดจีนน่าจะกลับมาดีขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจปูนฯ ตอนนี้เป็นช่วงน้ำท่วม แต่เรามองไกล หลังน้ำท่วมก็จะมีความต้องการใช้ รวมไปถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท"นายดนัย กล่าว
ในปี 56 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตกว่า 40% เป็น 3.4 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2.3 หมื่นล้านบาท และคาดกำไรสุทธิปี 57 อยู่ที่ราว 3.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 10%
ด้าน บล.เอเชียพลัส ระบุว่า แม้ช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีจะเป็น High Season ของธุรกิจปิโตรเคมี แต่เชื่อว่างวดไตรมาส 3/56 ของ SCC จะไม่เร่งสร้างยอดขาย เพื่อเป็นการสะสมสต็อกสำหรับรองรับยอดขายช่วงไตรมาส 4/56 เนื่องจากโรงงาน MOC จะมีการหยุดซ่อมบำรุง 45 วันในไตรมาส 4/56 โดย Spread ผลิตภัณฑ์หลักทั้ง HDPE และ PP เทียบกับ Naphtha อ่อนตัวลงเล็กน้อยจากงวดในไตรมาส 2/56 น่าจะทำให้กำไรของธุรกิจปิโตรเคมีทำได้เพียงทรงตัวจากไตรมาส 2/56
สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ยังคงได้รับแรงหนุนต่อเนื่องจากภาคการก่อสร้างในประเทศที่เติบโต ซึ่งทำให้ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.56 ปรับตัวขึ้นกว่า 9%YoY ส่วนธุรกิจกระดาษ มีปัจจัยลบจากภาคส่งออกของประเทศที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ลดลง
โดยรวมคาดว่างวดไตรมาส 3/56 SCC จะมียอดขาย 1.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%QoQ และมีกำไรจากการดำเนินงาน 7.7 พันล้านบาท แต่ถ้ารวมกำไรพิเศษ 1.5 พันล้านบาท จะมีกำไรสุทธิ 9.2 พันล้านบาทลดลง 7%QoQ
การดำเนินธุรกิจเชิงรุกด้วยการลงทุนขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปี 56 SCC จะมีกำไรสุทธิ 38,703 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 44,222 ล้านบาทในปี 57 จากการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วงวัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่อีกครั้งในปีหน้า