และยังมั่นใจว่าสามารถทำรายได้เกินกว่าเป้าหมายที่ 5.4 พันล้านบาท หลังจากที่ครึ่งปีแรกมีรายได้ 3.2 พันล้านบาท จากการที่บริษัทมีการเดินหน้ารับงานต่างๆเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท
โดยบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ส่วนหนึ่งในปีนี้ราว 2.6 พันล้านบาท และส่นที่เหลือจะเป็น Backlog ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้ในปีหน้าเกือบทั้งหมด
นอกจากนี้บริษัทยังมีงานใหม่ในปีนี้ที่ประมูลได้แล้วซึ่งอยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญาอีกจำนวน 756 ล้านบาท งานใหม่ที่อยู่ระห่างการยื่นประมูลงานจำนวน 477 ล้านบาท ซึ่งจะมีงานใหม่ส่วนหนึ่งทราบผลในปลายปีนี้และบางงานจะทราบผลในปี 57 ดังนั้น ในปี 57 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
นายศิริพงษ์ กล่าวว่า การเพิ่มทุนจดทะเบียนเกือบ 700 ล้านบาทในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจทั้งในประเทศไทยและอาเซียนในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยมีแผนการขยายกิจการในประเทศเพื่อรองรับโครงการใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น และลดการพึ่งพาการประมูลโครงการขนาดใหญ่ และกระจายการลงทุนไปยังบริการการซ่อมบำรุงรักษา ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และโครงข่ายระบบทีวีดิจิตัล เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มเม็ดเงินลงทุนให้กับบริษัท เคิร์ซ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เพิ่งเข้าซื้อกิจการไปเมื่อกลางปี 56 ที่ผ่านมา
รวมไปถึงการร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศเพื่อจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ 2 บริษัทขึ้นมาเพื่อรับงานด้านโทรคมนาคมในประเทศและในประชาคมอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะในประเทศลาว พม่า กัมพูชา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาข้อตกลงต่างๆกับพันธมิตร คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนพ.ย. 56
“การเพิ่มทุนในครั้งนี้เกือบ 700 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของบริษัทในปีหน้าปีถัดๆไป อย่างเช่น ปีหน้าเราจะมีการลงทุนในระบบ Training Center โดยเช่าพื้นที่ในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และสร้างระบบ Telepresent ที่เป็นระบบการประชุมทางไกล เพื่อรุกตลาดกลุ่มนี้เพิ่ม พร้อมทั้งเตรียมจัดตั้งบริษัย่อยใหม่กับพันธมิตรในประเทศเพื่อขยายการลงทุนไปกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อขยายโครงการขนาดใหญ่และรับงานในพม่า ลาว กัมพูชา โดยเฉพาะงานด้านโทรคมนาคม
และจะมีอีกบริษัทย่อยโดยร่วมกับพันธมิตรในประเทศเช่นกันเพื่อรับงานด้านโทรคมนาคมในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีข้อสรุปภายในเดือนพ.ย. ปีนี้ ใช้เงินลงทุนก็ราวหลักพันล้านบาท สำหรับบริษัทย่อยที่จะมารับงานในประเทศ และคาดว่าโครงการส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นผลตอบแทนได้ประมาณ 1-2 ปีหลังจากเริ่มลงทุนได้"นายศิริพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (8 ต.ค. 56) มีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 687 ล้านบาท จาก 343 ล้านบาท ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 1,032 ล้านบาท ณ มูลค่าที่ตราไว้ 5 บาทต่อหุ้น ที่จะจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม หรือ RO ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ซึ่งจะนำมติดังกล่าวเข้าขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 18 พ.ย. 56
“เรามองว่าสาเหตุที่เราไม่แตกพาร์นั้น เพราะการแตกพาร์ไม่ได้ประโยชน์อะไร และไม่ได้เงินด้วย ได้แต่สภาพคล่องอย่างเดียว แต่การเพิ่มทุนได้ทั้งเงินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตและสภาพคล่องไปพร้อมกัน"นายศิริพงษ์ กล่าว