ส่วนการลงทุนมองว่าควรเน้นการกระจายการลงทุนในช่วงที่มีความผันผวน แนะให้กระจายการลงทุนในต่างประเทศ โดยนอกจากจะลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว ยังมีการลงทุนพันธบัตรโลกด้วย แม้ให้ผลตอบแทนเท่าเดิม แต่ความเสี่ยงจะน้อยกว่ามาก
"ตลาดก็คงจะผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศ ที่จะเข้ากดดันตลาดในช่วงไตรมาส 4 ถึง ไตรมาส 1 ปีหน้า ส่วนเศรษฐกิจไทยการลงทุนยังคงชะลอตัว แต่ไม่ถึงกับแย่ ซึ่งมองว่าเป็นจังหวะในการเข้าไปลงทุนใน LTF หรือ กองทุนรวมตราสารทุน-หุ้นระยะยาว ทั้งนี้ควรกระจายพล็อตการลงทุนในหลายๆเซ็กเตอร์ เช่น ในกลุ่มแบงก์ พลังงาน สื่อสาร"นายบุญชัย กล่าว
สำหรับดัชนี SET คาดว่าสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,500 จุด โดยมีปัจจัยเรื่องของเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ซึ่งต้องรอดูผลสรุปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 17 ต.ค.นี้ ซึ่งตนมองว่าน่าจะจบแบบชั่วคราวแล้วจึงมาหาข้อสรุปกันต่อ
ส่วนปี 57 เรื่องของภาคการบริโภคยังคงชะลอตัว เนื่องจากหนี้ภาคครัวเรือนยังคงมีมากอยู่ เรื่องของการส่งออก ยังซบเซา จากเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังอ่อนแอ ซึ่งต้องจับตาดูว่าภาครัฐจะสามารถผลักดันในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทได้หรือไม่ในปีหน้า หากผลักดันได้สำเร็จ ภาคเอกชนก็พร้อมที่จะลงทุนทันที
นายสมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด ว่า ในช่วงที่เหลือของปี 56 ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงกดดันตลาด ทั้งปัญหาในเรื่องของเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ประกอบกับปัจจัยด้านมาตรการ QE ซึ่งแนะนักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงออกมา ขณะเดียวกันให้มองวิกฤตเป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุน ซึ่งมองว่าการลงทุนในกองทุนรวม ในกลุ่มตลาดอาเซียนที่กำลังมีการเติบโตที่ดี น่าจะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจได้
"การลงทุนไม่ใช่เรื่องยาก เราต้องกลับมาดูพอร์ตการลงทุนของเราก่อนว่า เรามีพฤติกรรมการลงทุนอย่างไร เรามีสัดส่วนการลงทุนในประเทศมากกว่าต่างประเทศหรือไม่ หากมีมากกว่าควรจะมีการปรับพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงออกไปทั่วโลกให้มากขึ้น"นายสมจินต์ กล่าว
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี 56 ต้องติดตามในเรื่องของเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยมองว่าถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุน แม้ IMF จะปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจโลกลง 2% จากเดิม 3% แต่มองว่าเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยประเมินจากยุโรป เริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้น ซึ่งยังคงเอื้อต่อการลงทุนในตลาดหุ้น เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น รวมถึงตลาดเกิดใหม่ด้วย
"เรามองว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า ตลาดพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐฯ น่าจะมีเงินไหลเข้าไปลงทุน และประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งญี่ปุ่นหลังจากมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาก็มีแผนนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมีการปฎิรูปภายในประเทศ รวมถึงยุโรป ที่เริ่มเห็นการฟื้นตัว มองว่าน่าจะเป็นตลาดที่น่าสนใจในการเข้าไปลงทุน"นายธีรนาถ กล่าว
ทั้งนี้ตลาดเอเชีย มองว่าน่าจะมีเงินทุนไหลออกไปในช่วงสั้นเท่านั้น แนะนักลงทุนอย่าตกใจ ให้มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุน โดยต้องจัดพอร์ตการลงทุนให้ดี แนะนำว่าให้เข้าลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ในสัดส่วน 80% หรือ 50% เพื่อกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดทั่วโลก อย่างเช่นในประเทศจีน ที่มี P/E อยู่ที่ 8 เท่า ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน เหล็ก ซึ่งมีความผันผวนมากถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น ควรเข้าไปลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวไปได้สักระยะหนึ่ง หรือดูจากอัตราเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยควรลงทุนไม่เกิน 10% ของพอร์ต