นายขจรพงศ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ผู้บริหาร EARTH เข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ เพราะมีความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจของบริษัทว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายทุกอย่างตามพันธกิจที่วางไว้ อีกทั้งมั่นใจว่าธุรกิจถ่านหินยังมีอนาคตที่ยังเติบโตได้อีกมาก ตามความต้องการใช้ถ่านหินทั้งในและต่างประเทศ ส่วนราคาบิ๊กล็อตนั้นถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับอนาคตธุรกิจของบริษัท อีกทั้งที่ผ่านมาผลการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ที่สำคัญยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นด้วย
“การซื้อบิ๊กล็อตครั้งนี้ เพราะผู้บริหาร EARTH เชื่อมั่นว่าสามารถผลักดันธุรกิจและรายได้เป็นไปตามเป้าทุกอย่างที่วางไว้ และในอนาคตธุรกิจถ่านหินยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยราคาที่ซื้อบิ๊กล็อต 7.95 บาท ถือเป็นราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับอนาคตของบริษัท รวมถึงผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา"นายขจรพงศ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มของธุรกิจพลังงานถ่านหินยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมต้องการที่จะลดต้นทุนทางการผลิตลง ดังนั้นถ่านหินจึงเป็นพลังงานทางเลือกที่น่าสนใจ โดยประเมินว่าราคาถ่านหิน ณ ปัจจุบันได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และเชื่อว่าในปี 57 จะเป็นปีทองของธุรกิจถ่านหิน ซึ่งราคามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่าถ่านหินยังเป็นเชื้อเพลิงที่แข่งขันได้ดีในตลาดและต้นทุนถูกกว่าเชื้อเพลิงประเภทอื่น
ปัจจุบัน EARTH มีปริมาณสำรองถ่านหินประมาณ 45 ล้านตัน แบ่งเป็นเหมืองที่ประเทศอินโดนีเซียเหลือ 5 ล้านตัน เหมืองที่ประเทศพม่า 40 ล้านตัน และเหมือง Hary ซึ่งอยู่ระหว่างสำรวจพื้นที่เพื่อจัดทำ JORC คาดว่าจะมีปริมาณสำรอง 30-40 ล้านตัน ซึ่งถือว่าเพียงพอที่จะขายได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทยังคงมองหาเหมืองแห่งใหม่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามแผน 5 ปีข้างหน้า จะมีปริมาณสำรองถ่านหินที่ 200 ล้านตัน