“มาร์เก็ตแชร์ของบล.คันทรี่ปีนี้ก็เป็นไปตามเป้า 4-5% ตอนนี้เราก็ได้ใกล้เคียงกับระดับเป้าหมายของเรา แต่ที่ก่อนหน้าหน้ามาร์เก็ตแชร์ลดลง เพราะเรามีการปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ ตอนนี้เรารุกสินค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น ตราสารหนี้ และตลาด Futures เพราะนายหน้าขายหลักทรัพย์ให้มาร์จิ้นน้อย และคู่แข่งเยอะ การหาสินค้าที่หลากหลายก็เป็นช่องทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้และกำไรของเรา และก็พยายามรักษาค่าคอมมิชชั่นที่ 0.18-0.19% ให้ได้ในภาวะการแข่งขันแบบนี้"นายสุรพล กล่าว
ด้านนายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผุ้จัดการ สายงานวาริชธนกิจ CGS เปิดเผยว่า บริษัทยังมีงานที่ปรึกษาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ที่จะเสนอขายภายในปีนี่อีก 2 ราย ได้แก่ บมจ.จี แคปปิตอล เป็นธุรกิจเกี่ยวกับสินเชื่อเครื่องจักรทางการเกษตร และ บมจ.ซีซีเอ็น-เทค เป็นธุรกิจด้านซอฟท์แวร์และไอที โดยทั้ง 2 ดีลมีมูลค่าระดมทุนรายละมากกว่า 100 ล้านบาท ขณะนี้ได้ยื่นไฟลิ่งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว (ก.ล.ต.) และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม ไอ เอ (mai)ได้ทันภายในปีนี้
สำหรับในปี 57 บริษัทมีดีล IPO ที่เตรียมยื่นไฟลิ่งอีก 2 ราย โดยจะเข้าตลาดหลักทรัพย์(SET) เป็นธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บมจ.ริชี่เพลส 2002 มูลค่าระดมทุนราว 500-600 ล้านบาท และ บมจ.เจ.เอส.พี.กรุ๊ป มูลค่าระดมทุนราว 1 พันล้านบาท
นายสุรพล ยังกล่าวถึงสถาการณ์ในสหรัฐฯที่ยังมีความยืดเยื้อเกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้สาธารณะว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตก เพราะทางประธานาธิบดีและพรรครีพับลิกันจะตกลงกันได้ในที่สุด ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยมานัก แต่กระทบในเชิงจิตวิทยาการลงทุนมากกว่า
“สถานการณ์ในสหรัฐฯไม่น่ามีอะไรที่วิตกมาก ตอนนี้เริ่มมีการเจรจากันทั้ง 2 ฝ่าย เชื่อว่ายังไงพรรครีพับลิกันก็ต้องยอมอยู่ดี เพราะเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ และเรื่องหนี้สหรัฐฯก็ไม่ควรผิดนัดชำระ ทำให้ประเทศอื่นมองไม่ดี สำหรับตลาดหุ้นไทยคงไม่กระทบมาก แต่เป็นผลกระทบในจิตวิทยาการลงทุนมากกว่า"นายสุรพล กล่าว