ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/56 น่าจะมีกำไรต่อเนื่อง หลังจากวัตถุดิบหลัก คือ ตะกั่ว ราคาค่อนข้างนิ่ง โดยยังทรง ๆ อยู่แถว 2,000-2,100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาเป็นกว่า 10% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 2-3% ดีกว่าปีก่อนเล็กน้อย แม้ว่าราคาขายปีนี้จะยังไม่ได้ปรับขึ้น
"ราคาตะกั่วยังทรง ๆ อยู่ราว 2,000-2,100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ใกล้เคียงกับปีก่อน เหวี่ยงไม่กว้างมากทำให้บริหารต้นทุนได้ดี แนวโน้มยังนิ่งอีกพักหนึ่งแม้ตลาดประเมินมีความต้องการใช้ช่วงปลายปีอาจทำให้ราคาตะกั่วปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่เท่าที่ดูถ้ากลุ่มเฮดจ์ฟันด์ไม่ทำอะไรราคาก็ไม่ขยับ"นายวีรวัฒน์ กล่าว
บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ราว 5,768 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีรายได้ 2,827 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีหลังปกติยอดขายจะต่ำกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย แต่ทั้งปีไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งต้องดูยอดขายในเดือนพ.ย.สำหรับตลาดในประเทศเพราะมีสถานการณ์น้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม ยอดขายตลาดต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะเป็นช่วงฤดูหนาว และส่วนหนึ่งที่มูลค่ายอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นผลจากการทำการตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม AEC ที่บริษัทสามารถส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายได้ทั้งหมด เพียงแต่อาจมีการแข่งขันมากขึ้น แต่เราก็มีแบตเตอรี่ตัวใหม่ เช่น แบตเตอรี่ชนิดพิเศษไม่ง้อน้ำ ที่ยังทำตลาดได้ดี
"ในประเทศไตรมาส 3 เป็นช่วง low ภาพรวมไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่เสียหาย ส่วนทั้งปีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้วเพราะตลาดช่วงครึ่งแรกเติบโตพอสมควร ครึ่งหลังช่วง low ด้วย เผอิญกับมีน้ำท่วมในบางจังหวัด ถ้าไม่ยืดเยื้อคงไม่กระทบมาก แต่กระทบลูกค้าตรงที่ไม่ค่อยกล้าสต็อกของเพราะกลัวมีปัญหา แต่ต่างประเทศจะเข้าช่วง high ในครึ่งหลังยอดขาดน่าจะเพิ่มขึ้นกว่าในประเทศที่ชะลอครึ่งหลัง"นายวีรวัฒน์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% ใกล้เคียงปีก่อน
นายวีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทไม่มีภาระขาดทุนสะสม แต่เป็นกำไรสะสมกว่า 700 ล้านบาท ส่วนจะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นหรือไม่ คงต้องรอดูผลสรุปกำไรสุทธิในปีนี้ก่อน
*ศึกษาขยายกำลังผลิตรองรับดีมานด์ปีหน้าได้อานิสงส์รถคันแรก
นายวีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปี 57 บริษัทคาดว่าจะได้รับผลดีจากโครงการรถคันแรกอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตลาดแบตเตอรี่ทดแทน(replacement) เพราะตั้งแต่ปีนี้ก็เริ่มถึงระยะเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ส่วนจะเติบโตแค่ไหนอย่างไรคงต้องรอประเมินความชัดเจนก่อน
ดังนั้น บริษัทจะเตรียมแผนขยายกำลังการผลิตและงบลงทุน ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษา โดยจะต้องรอดูความต้องการของตลาดให้ค่อนข้างนิ่ง(Stable)ก่อน โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3.5 แสนลูก/เดือน หรือ 4.2 ล้านลูก/ปี แบ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิดน้ำ 80% และแบตเตอรี่ชนิดพิเศษไม่ง้อน้ำ 20% ขณะนี้ใช้กำลังการผลิตเต็มที่แล้ว จึงจะต้องเปิดกำลังการผลิตใหม่รองรับการขายปีหน้า
นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในบางรุ่นที่ต้องการขยายตลาดเพิ่มเติม ซึ่งโดยปกติในแต่ละปีจะมีงบการตลาดกว่า 100 กว่าล้านบาท ยังไม่รวมขยายกำลังการผลิต โดยจะขยายที่โรงงานเดิมเพิ่มเครื่องจักรผลิตสินค้าในรุ่นที่ตลาดมีความต้องการมากขึ้น รองรับการแข่งขันที่ดุมากในตอนนี้
"ตลาดตอนนี้เป็นตลาดเล่นราคา เราไม่มีแผนขึ้นราคา แต่เริ่มมีสงครามราคากันอาจมีการลดราคาในบางรุ่นเป็นสงครามราคา (Price War) ปัจจุบัน มาร์เก็ตแชร์ในประเทศอยู่ที่ 30% เพิ่มได้ยากแล้ว แต่ถ้าอยู่ระดับ 10-15% จะเพิ่มง่าย"นายวีรวัฒน์ กล่าว
นายวีรวัฒน์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทยังเตรียมจะศึกษาการตั้งโรงงานผลิตในพม่า เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ แต่เพราะโครงสร้างพื้นฐานของพม่ายังไม่แน่นอนจึงยังไม่รีบร้อน ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่ได้คิดว่าการตั้งโรงงานจะคุ้มค่ากว่าค่าใช้จ่ายโลจิสติกส์หรือไม่ เพราะขณะนี้การขนส่งทางรถและทางเรือสะดวกอยู่แล้ว ดังนั้น คงยังไม่เข้าไปลงทุนในช่วง 1-2 ปีนี้