นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC กล่าวว่า ในไตรมาส 3/56 บริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 3 เรื่องหลักส่งผลต่อรายได้และกำไรในไตรมาสนี้ ได้แก่ กรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่ว บริษัทคาดว่าจะตั้งสำรองความเสียหาย รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ประมาณ 700-1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดผู้ขอรับความช่วยเหลือ 1.6 หมื่นราย และได้จ่ายไปแล้วกว่า 5 พันราย วงเงินประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าบริษัทประกันคงจะยังไม่จ่ายเงินชดเชยภายในปีนี้ ส่วนผลสอบยังไม่เสร็จ ต้องรอผลการทดสอบทางเทคนิคอยู่
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/56 ยังได้มีการปิดซ่อมโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LDPE ระยะเวลา 3 เดือนครึ่ง (ตั้งแต่ 10 ก.ค.56) ประเมินจะกระทบกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท ส่วนกรณีที่โรงแยกก๊าซที่ 5 ปิดซ่อมจากเหตุฟ้าผ่าเมื่อกลางส.ค. ขณะนี้ได้กลับมาเดินเครื่อง 50% แล้วเร็วกว่าที่คาด ทำให้การผลิตของบริษัทปิดไปเพียง 2 เดือน คาดว่า รายได้หายไปประมาณ 800 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 3 นี้บริษัทสามารถประหยัดพลังงานได้ 2% ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ส่วนหนึ่ง
นายบวร มองว่าแนวโน้มตลาดในไตรมาส 4/56 จะดีขึ้น เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นซึ่งราคาน้ำมันดีเซลและราคาน้ำมันเครื่องบินปรับตัวขึ้น ขณะที่ราคาเบนซีนและพาราไซลีนก็ยังดีต่อเนื่อง ส่วนโอลิฟินส์และโพลิเมอร์คาดว่าส่วนต่างราคาดีขึ้น เพราะในไตรมาส 4 จะมีดีมานด์สูงเพื่อรองรับกับเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมาย EBITDA ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อนที่มี 5.5 หมื่นล้านบาท และรายได้ปีนี้ก็คงเป้าหมายเติบโต 10% และบริษัทก็ยังมีเป้าหมายที่จะทำรายได้เติบโต 2 เท่าในปี 2563
"ปี 56 จะเป็นปีที่ดีของอะโรเมติกส์ ปีหน้าไม่น่าจะอ่อนตัว ราคาเบนซีนน่าจะ strong ธุรกิจอะโรเมติกส์ยังดีต่อเนื่อง ส่วนโอเลฟินส์และโพลีเมอร์มองว่าราคาไต่ขึ้น ก็ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นปีนี้สบายใจได้ ธุรกิจ PTTGC ปีหน้ายังสู้ได้" นายบวร กล่าว
นายบวร กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนลงทุนในต่างประเทศโดยร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มจากโครงการลงทุน ได้แก่ ความร่วมมือกับ Shinochem จากจีน ซึ่งขณะนี้มีความร่วมมือด้านการตลาด และคาดว่าปลายปีนี้จะได้ข้อสรุปการร่วมทุนตั้งโรงงานในจีนที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย ที่มีความต้องการและเติบโตสูง
รวมทั้ง ความร่วมกับ PERTAMINA ของรัฐบาลอินโดนีเซียที่จะร่วมมือในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ มูลค่า 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าอย่างเร็วจะสรุปได้ปลายปีนี้ โดยได้มีการติดต่อหาพาร์ทเนอร์รายอื่นเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งต้องมีการเจรจาเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น รวมทั้งมีการศึกษาสถานที่จัดตั้งโรงงานและมูลค่าเงินลงทุน โดยปัจจุบัน PERTAMINA ยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 51% ส่วนอีก 49% เป็นของบริษัท
แต่ความร่วมมือกับปิโตรนาสของมาเลเซีย คาดว่าจะชะออกไปเป็นกลางปี 57 โดยโครงการนี้บริษัทต้องการ Feed stock จากมาเลเซีย เพื่อลงทุนผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย ขณะที่บริษัท Nuture Work ซึ่ง PTTGC ถือหุ้น 50% กับ Cargill มีแผนจะตั้งโรงงานผลิตไบโอพลาสติก (PLA) ในไทย โดยได้เตรียมสถานที่ตั้งโรงงานไว้ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จ.ระยอง แล้ว