สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.7 ปี) LB21DA (อายุ 8.2 ปี) และ LB196A (อายุ 5.7 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 15,785 ล้านบาท 8,545 ล้านบาท และ 6,270 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13O29A (อายุ 14 วัน) CB14109C (อายุ 91 วัน) และ CB14410B (อายุ 182 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 32,451 ล้านบาท 28,242 ล้านบาท และ 14,991 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) รุ่น CPF14NA (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 237 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) รุ่น A164A (BBB-) มูลค่าการซื้อขาย 200 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) รุ่น GLOW218A (A) มูลค่าการซื้อขาย 174 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ค่อนข้างนิ่ง โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะสั้น อายุน้อยกว่า 3 ปี ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ตราสารอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้น / ลดลงในช่วงประมาณ -1 ถึง +3 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยนักลงทุนบางส่วนเริ่มชะลอการลงทุน หลังจากที่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 และประเด็นปัญหาการขยายเพดานหนี้ ที่จะถึงกำหนดในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายสัปดาห์เริ่มมีความคืบหน้าในการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันจะเสนอให้ทำเนียบขาวขยายเพดานหนี้ระยะสั้นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อแลกกับการเจรจาในวงกว้างว่าด้วยการใช้จ่ายของรัฐบาล ทำให้เริ่มเห็นแนวโน้มที่ปัญหาจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ บรรยากาศการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศแต่งตั้งนางเจเน็ต เยลเลน รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขึ้นเป็นประธาน Fed คนใหม่ ด้วยแนวคิดที่สนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะยังไม่ลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ (QE) ในเร็วๆนี้ ส่งผลให้ยังคงมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในตราสารหนี้ระยะยาว สำหรับทิศทางภาวะตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์หน้า ตลาดต่างจับตาประเด็นความคืบหน้าเกี่ยวกับปัญหางบประมาณภาครัฐ และปัญหาเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐ ที่กำลังจะชนเพดาน 16.7 ล้านล้านเหรียญ USD ในวันที่ 17 ต.ค. นี้ ขณะที่ในไทย ยังต้องติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. ในวันที่ 16 ต.ค. นี้อีกด้วย
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 1,135 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 3,402 ล้านบาท ในขณะที่ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 4,537 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 144 ล้านบาท