นายสิทธิไชย มหาคุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ CIMBT กล่าวว่า ธนาคารคาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO)จำของบริษัทโฮลดิ้งส์จากเวียดนาม ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจปุ๋ยและแวร์เฮ้าส์ และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ส่วนดีล M&A ที่คาดว่าจะเจรจาสำเร็จในช่วงปลายปีเป็นธุรกิจในกลุ่มโรงงาน และอาหาร เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังมีดีลที่เป็นที่ปรึกษาการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้อีก 4 กองทุน คาดว่าจะสามารถจัดตั้งได้ทั้งหมดในช่วงที่เหลือของปีนี้
นายสิทธิไชย กล่าวในการเสวนา"เปิดมุมมองการควบรวมกิจการในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์"ว่า การควบรวมจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์มีความชัดเจนมากขึ้น และยังมองแนวโน้มที่จะมีการควบรวมกิจการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีการควบรวมกิจการขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การควบรวมกิจการของกลุ่ม ธนาคารต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารมองโอกาสการทำธุรกิจที่ปรึกษาการควบรวมกิจการจะไม่หยุดแค่ประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)เท่านั้น โดยธนาคารก็ยังมีดีลในอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเกาหลี ที่อยู่ระหว่างการเจรจา
"เรายังมองแนวโน้มการควบรวมกิจการที่นอกเหนือจาก AEC มากขึ้น โดยเราจะใช้เครือข่ายที่เรามีอยู่เพื่อที่จะให้มีการควบรวมกิจการต่างๆมากขึ้น เพื่อเป็นการหาความรู้ จากบริษัทอื่นๆในต่างประเทศ รองรับเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของประเทศไทย"นายสิทธิไชย กล่าว
สำหรับสถานการณ์ในสหรัฐที่เกิดปัญหาเรื่องงบประมาณและการขยายเพดานหนี้ในขณะนี้นั้น นายสิทธิไชย เชื่อว่า ในที่สุดจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะเข้าใกล้กำหนดเส้นตายในวันที่ 17 ต.ค.นี้แล้ว โดยเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาคที่มีการปรับตัวขึ้นมาถึง 3-4 วันต่อกัน ถึงแม้ว่าวานนี้ดาวโจนส์จะปรับตัวลดลงไปก็ตาม แต่จะผ่านในรูปแบบไหนคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
"เรามองว่า การเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐนั้นหน้าจะผ่านไปได้ค่อนข้างแน่นอน จะเห็นได้จากที่ตลาดหุ้น ทั้งภูมิภาคปรับตัวขึ้นเพื่อไปแล้ว ติดต่อกัน 3-4 วันติดต่อกัน แต่ถ้าเรื่องของเพดานหนี้ไม่ผ่านนั้น จะกระทบกับ Fund flow ที่เคยไหลเข้ามา ก็จะหายไป แต่เรามองว่าโอกาสที่จะไม่ผ่านนั้นเป็นไปได้น้อยมากๆ" นายสิทธิไชย กล่าว
ขณะที่ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มองว่าจะสามารถขึ้นไปทะลุ 1,700 จุดได้จากพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังมีความเข็งแกร่ง ประกอบกับ ภาครัฐจะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่จะทยอยออกมา ซึ่งขณะนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีการเตรียมพร้อมในการลงทุนที่จะเกิดขึ้น และจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น ยังมองว่า Fund flow ยังมีแนวโน้มไหลกลับเข้ามายังประเทศไทย เพราะหากเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ตลาดทุนไทยก็ยังมีความน่าสนใจมากกว่า จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่เข็งแรง ประกอบกับยังมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ