แม้ว่าการยื่นซองประมูลในครั้งที่ผ่านมา ทางบริษัทฯจะมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้น ปัจจุบันบริษัทจึงได้พูดคุยกับบริษัท ซีเมนส์ เพื่อที่จะหาทางลดราคาลงมาให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
"เราอยู่ระหว่างการทำแผนใหม่ในการเข้าประมูลครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เรามีราคาที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่น แต่เราก็จะพยายามลดราคาลงมาเพื่อจะสามารถแข่งขันได้ ราคาของเราที่ค่อนข้างสูงมาจากที่เรานำเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมันเข้ามาเพื่อมาผลิตเองในประเทศไทย ต่างจากรายอื่นที่เป็นการนำเข้าหัวรถจักรจากประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่"นายสุรเดช กล่าว
สำหรับการประมูลงานรถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)คาดว่าจะมีขึ้นในไตรมาส 4/56 หลังจากได้มีการทำ TOR เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งบริษัทจะเข้าประมูลประมาณ 400-500 คัน มูลค่าราว 2.2 พันล้านบาท เชื่อมั่นว่าจากประสบการและความรู้ที่มีอยู่จะมีโอกาสชนะการประมูลสูงถึง 70%
นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญางานโครงการของกระทรวงกลาโหม หลังจากชนะประมูลมาแล้ว คาดว่าจะสามารถเซ็นได้ภายในเดือน พ.ย.56 มูลค่าโครงการประมาณ 392 ล้านบาท แต่เป็นการร่วมมือกับพันธมิตร โดยจะเป็นส่วนงานที่บริษัทจะรับรู้รายได้เกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ฯไปจนถึงไตรมาส 2/57
นอกจากนั้น ในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หลังจากบริษัทได้ส่งมอบเรือหลวงกระบี่ให้กับกองเรือยุทธการไปแล้วในปีนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มองว่าแนวโน้มอาจจะมีโอกาสได้รับงานต่อเรือรบอีก 2 ลำในปี 58
นายสุรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทยังมั่นใจรายได้ปีนี้จะยังเติบโตได้ราว 20% ตามเป้าหมาย โดยในช่างที่เหลือของปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้ราว 50% จากงานในมือ(Backlog)ที่มีอยู่แล้วกว่า 600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯ ในปี 57
ขณะที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่ก่อนหน้าอยู่ที่ 3% เนื่องจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai)ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยลดลง ประกอบกับ การลงทุนเพิ่มในส่วนของเครื่องจักร ทำให้มีประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น 2-5% มาอยู่ที่ 22-25%
ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ปัจจุบันอยู่ที่ไม่ถึง 1% จากก่อนหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ที่กว่า 6% แต่อย่างไรก็ตามหากในปี 57 มีงานเข้ามามาก โดยเฉพาะจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ 2 ล้านล้านบาท อาจจะทำให้บริษัทต้องมี D/E สูงขึ้นเกินกว่า 1% แต่ก็จะพยายามรักษาไว้ไม่ให้เกิน 2%