CHO ลุ้นงานใหญ่หัวรถจักร-รถเมล์ รอเซ็นฯงานกลาโหม พ.ย.นี้ มั่นใจปีนี้โตตามเป้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 17, 2013 16:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ช.ทวี ดอลลาเซียน(CHO)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า บริษัทมีงานใหญ่ของภาครัฐที่จะเข้าร่วมประมูล โดยขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับบริษัท ซีเมนส์ เพื่อร่วมกันทำแผนเข้าประมูลงานหัวจักรรถไฟ 50 หัว มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ยื่นซองประมูลแล้ว แต่ผู้เข้าประมูลส่วนใหญ่มีคุณสมบัติผิดเงื่อนไขทำให้ต้องยกเลิกการประมูลไป และคาดว่าจะมีการเปิดประมูลใหม่ในอีก 60-90 วันหลังจากนั้น

แม้ว่าการยื่นซองประมูลในครั้งที่ผ่านมา ทางบริษัทฯจะมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้น ปัจจุบันบริษัทจึงได้พูดคุยกับบริษัท ซีเมนส์ เพื่อที่จะหาทางลดราคาลงมาให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

"เราอยู่ระหว่างการทำแผนใหม่ในการเข้าประมูลครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เรามีราคาที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่น แต่เราก็จะพยายามลดราคาลงมาเพื่อจะสามารถแข่งขันได้ ราคาของเราที่ค่อนข้างสูงมาจากที่เรานำเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมันเข้ามาเพื่อมาผลิตเองในประเทศไทย ต่างจากรายอื่นที่เป็นการนำเข้าหัวรถจักรจากประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่"นายสุรเดช กล่าว

สำหรับการประมูลงานรถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)คาดว่าจะมีขึ้นในไตรมาส 4/56 หลังจากได้มีการทำ TOR เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งบริษัทจะเข้าประมูลประมาณ 400-500 คัน มูลค่าราว 2.2 พันล้านบาท เชื่อมั่นว่าจากประสบการและความรู้ที่มีอยู่จะมีโอกาสชนะการประมูลสูงถึง 70%

นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญางานโครงการของกระทรวงกลาโหม หลังจากชนะประมูลมาแล้ว คาดว่าจะสามารถเซ็นได้ภายในเดือน พ.ย.56 มูลค่าโครงการประมาณ 392 ล้านบาท แต่เป็นการร่วมมือกับพันธมิตร โดยจะเป็นส่วนงานที่บริษัทจะรับรู้รายได้เกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ฯไปจนถึงไตรมาส 2/57

นอกจากนั้น ในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หลังจากบริษัทได้ส่งมอบเรือหลวงกระบี่ให้กับกองเรือยุทธการไปแล้วในปีนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มองว่าแนวโน้มอาจจะมีโอกาสได้รับงานต่อเรือรบอีก 2 ลำในปี 58

นายสุรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทยังมั่นใจรายได้ปีนี้จะยังเติบโตได้ราว 20% ตามเป้าหมาย โดยในช่างที่เหลือของปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้ราว 50% จากงานในมือ(Backlog)ที่มีอยู่แล้วกว่า 600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯ ในปี 57

ขณะที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่ก่อนหน้าอยู่ที่ 3% เนื่องจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai)ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยลดลง ประกอบกับ การลงทุนเพิ่มในส่วนของเครื่องจักร ทำให้มีประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น 2-5% มาอยู่ที่ 22-25%

ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ปัจจุบันอยู่ที่ไม่ถึง 1% จากก่อนหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ที่กว่า 6% แต่อย่างไรก็ตามหากในปี 57 มีงานเข้ามามาก โดยเฉพาะจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ 2 ล้านล้านบาท อาจจะทำให้บริษัทต้องมี D/E สูงขึ้นเกินกว่า 1% แต่ก็จะพยายามรักษาไว้ไม่ให้เกิน 2%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ