“การตอบรับที่ดีของนักลงทุนนี้ก็สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตโดดเด่นตลอดมา และในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตสอดคล้องไปกับการเติบโตของลูกค้าที่ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี อีกประการที่สำคัญในเสียงตอบรับหุ้น FVC ที่ดีในครั้งนี้คือการกำหนดเสนอราคาเสนอขายที่ 1.20 บาท ต่อหุ้นถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับค่า P/E ที่ประมาณ 11 เท่า ดังนั้นเชื่อว่าเมื่อเข้าซื้อขายวันแรกในวันอังคารที่ 29 ตุลาคมนี้ FVC น่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุน" นายชูพงศ์ กล่าว
โครงสร้างการถือหุ้นของ FVC ภายหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 5 อันดับแรก คือ 1.ครอบครัวเตชะเกษม ถือหุ้น 77.58% หลังเสนอขายลดเหลือ 54.62% 2. นายศิริพงศ์ ว่องวุฒิพรชัย ถือหุ้น 10.16% หลังเสนอขายลดเหลือ 7.15% 3. นายธนพรรจน์ ตันติวัตนวิจิตร ถือหุ้น 5.78% หลังเสนอขายลดเหลือ 4.07% 4.นายมนตรี ประจันพาณิชย์ ถือหุ้น 4.63% หลังเสนอขายลดเหลือ 3.26% และ 5.นายธีระภัทท์ สอนกลิ่น ถือหุ้น 1.85% หลังเสนอขายลดเหลือ 1.30%
สำหรับจำนวนหุ้นไอพีโอที่เสนอขายประชาชนทั่วไปจำนวน 59.20 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นใน FVC รวมเท่ากับ 29.60%
นายวิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ FVC กล่าวว่า ปรากฏการณ์หุ้น FVC ที่ได้รับความสนใจเข้ามาจองซื้อหุ้นจำนวนมากสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทและเ ข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่มีมาตรฐาน ซึ่งการให้ความสำคัญของผู้บริโภคในเรื่องนี้ได้ขยายออกไปในวงกว้าง ส่งผลดีให้บริษัทมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำให้บริสุทธิ์ เช่น ระบบกรองน้ำ ถังกรองไฟเบอร์กลาส หัวกรองน้ำอัตโนมัติ ไส้กรองน้ำ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยแสงอัลตร้าไวโอเล็ต และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบกรองน้ำให้บริสุทธิ์ เช่น ตู้นึ่งซาลาเปา เครื่องจ่ายเครื่องดื่ม และเครื่องทำน้ำแข็งเป็นต้น เพื่อรองรับลูกค้า 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มธุรกิจเพื่อการพาณิชย์และที่พักอาศัย 2.กลุ่มอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการด้านระบบน้ำ และ 3.กลุ่มธุรกิจบริการทาการแพทย์
“ภายหลังการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะทำให้ FVC มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จากทั้งลูกค้าและคู่ค้ามากยิ่งขึ้น อันจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันและสนับสนุนให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป"นายวิจิตร กล่าว
นอกเหนือจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทแล้วเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกทางหนึ่งกลุ่มเตชะเกษมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมยินดีที่จะไม่นำหุ้นในส่วนที่ติด Silent Period มาขายเป็นระยะเวลา 6 เดือน ดังนั้น นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะไม่นำหุ้นของบริษัทออกขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันแรกที่หุ้นเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai อย่างแน่นอน