สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.7 ปี) LB196A (อายุ 5.7 ปี) และ LB21DA (อายุ 8.2 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 16,483 ล้านบาท 13,339 ล้านบาท และ 9,966 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13N05A (อายุ 14 วัน) CB14116B (อายุ 91 วัน) และ CB14116A (อายุ 90 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 34,339 ล้านบาท 31,153 ล้านบาท และ 17,773 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของธนาคาร เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) รุ่น KK144A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 516 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง(ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT146A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 221 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) รุ่น IRPC147A (A-(tha)) มูลค่าการซื้อขาย 210 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น ในช่วงประมาณ -1 ถึง -7 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ตามทิศทางของเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทย หลังจากสภาคองเกรสสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉิน และการขยายเพดานหนี้ชั่วคราวได้ ทำให้หน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ กลับมาเปิดทำการได้ตามปกติอีกครั้ง และสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลได้สำเร็จ แต่ทั้งนี้ หน่วยงานราชการต่างๆ จะมีงบประมาณดำเนินการไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2557 และการเพิ่มเพดานหนี้ในครั้งนี้ จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีความสามารถในการกู้ยืมได้จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557 เท่านั้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) จะยังคงขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(QE) ต่อไป ทำให้มีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดตราสารหนี้ไทย และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง(ราคาเพิ่มสูงขึ้น) นอกจากนี้ จากการรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ปี 2556 ของประเทศจีน ที่เติบโตถึง 7.8% ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในไทย
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 35,105 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 1,640 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 33,466 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 308 ล้านบาท