น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานกรรมการ AOT คาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 8 เดือนกว่าจะมีผลบังคับใช้ปรับขึ้น PSC ทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าภายใน 2 เดือนนี้ คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.)จะนำเข้าที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบออกเป็นกฎกระทรวง และ AOT จะแจ้งกับผู้ประกอบการ หรือ สายการบินต่างๆ อย่างน้อย 4-6 เดือน
ทั้งนี้ คาดว่าการปรับขึ้น PSC จะสร้างรายได้เพิ่มอีก 3.8 พันล้านบาทแบ่งเป็นรายได้จากผู้โดยสารต่างประเทศ 2.4 พันล้านบาท และผู้โดยสารในประเทศ 1.4 พันล้านบาท จากรายได้ค่าธรรมเนียมสนามบินรวมในงวดปี 56 อยู่ที่ประมาณ 1.67 หมื่นล้านบาท จาก 6 ท่าอากาศยานที่ AOT บริหารอยู่
น.ต.ศิธา กล่าวว่า การปรับขึ้น PSC ครั้งนี้เป็นการสะท้อนต้นทุนจริง ที่ผ่านมา AOT มีต้นทุน PSC สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศสูงถึง 336 บาท/คน จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ 100 บาท/คน และถึงแม้ปรับขึ้นแล้วจะไม่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด แต่ก็เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ เพราะบริษัทต้องการดำเนินการสนับสนุนตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ขณะที่ PSC สำหรับผู้โดยสารต่างประเทศ มีต้นทุนPSC ประมาณกว่า 500 บาท/คน ซึ่งยังมีกำไร
"ของเดิม PSC ของผู้โดยสารต่างประเทศมีผลกำไร แต่ PSC ในประเทศ เราต้องการนำไปลงทุนต่อเนื่อง ที่บริษัทยอมขาดทุนก็เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารแบกรับภาระมาก...การขึ้น PSC ไม่ใช่เป็นการค้ากำไรเกินควร แต่เป็นการขาดทุนลดน้อยลง"ประธานกรรมการ AOT กล่าว
ปัจจุบัน สัดส่วนผู้โดยสารต่างประเทศมี 60% และ ผู้โดยสารในประเทศมีสัดส่วน 40%
นอกจากนี้ รายได้ที่จัดเก็บได้เพิ่ม บริษัทมีแผนจะนำไปดำเนินการในโปรแกรม Airport Tralvel Gard ได้แก่ กรณีผู้โดยสารรับผลกระทบจากเครื่องบินล่าช้า (delay) 3-5 ชั่วโมง AOT จะมีการชดเชยให้ผู้โดยสาร อาทิ ให้บินฟรี ออกตั๋วเครื่องบินสายการบินอื่นแทน หรือชดเชยเป็นเงิน ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากสนามบินหรือสายการบิน ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร และสถิติที่ผ่านมามีสายการบินบินล่าช้ากว่าตารางเวลามากว่า 3 ชั่วโมงไม่มาก
น.ต.ศิธา คาดว่า เรื่องดังกล่าวจะได้ข้อสรุปในการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งหน้าในเดือน พ.ย.56 โดยระหว่างนี้อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทประกันภัยและคาดว่าจะมีผลในช่วงเดียวกับการปรับขึ้นค่า PSC
อีกทั้งจะนำรายได้ดังกล่าวมาใช้จัดหาและปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และการบำรุงรักษาของสนามบินให้เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสนามบินในระดับสากล โดยเฉพาะการพัฒนาขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานที่บริษัทบริหาร รวมทั้งการพัฒนาด้านเทคโนโลยี อาทิ การจัดให้มี Free Wifi ในท่าอากาศยานทุกแห่ง
สำหรับผลประกอบการในงวดปี 56 (ต.ค.55-ก.ย.56) ประธานกรรมการ คาดว่าจะดีขึ้นกว่างวดปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.5 พันลบ. ทั้งในส่วน Aero และ Non-Aero และยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจาการสวอปหนี้เงินเยนมาเป็นเงินบาท ประมาณ 3 พันล้านบาท หรือ 30% ของยอดหนี้ 1 หมื่นล้านบาท รวมทั้ง คณะกรรมการบริษัทวันนี้มีมติให้โบนัสพนักงาน AOT ซึ่งได้รับมากกว่าปีก่อน
ด้านนายพงศ์ศักดิ์ฐ์ เสมสันต์ กรรมการและรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT คาดว่าในงวดปี 57 จำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 6-7% จากงวดปี 56 ที่มีจำนวนผู้โดยสารรวม 86 ล้านคน หรือเติบโตประมาณ 20% และเชื่อว่าการปรับขึ้นค่า PSC จะไม่กระทบกับการเดินทางของผู้โดยสารน้อยไม่มากนัก เพราะปรับขึ้นในอัตราไม่สูงมาก
พร้อมกันนั้น วันนี้คณะกรรมการบริษัทยังมีมติเห็นชอบผลการคัดเลือกกรรมการผุ้อำนวยการใหญ่ AOT คนใหม่ ตามที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ ได้แก่ นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ซึ่งจะมีการเจรจาค่าตอบแทนและเงื่อนไขสัญญาจ้างกับคณะอนุกรรมการพิจารณาผลตอบแทนของผู้อำนวยการใหญ่ หลังจากนั้น จะได้นำผลการเจรจาดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการ AOT และกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและแต่งตั้งอย่างเป็นทางการต่อไป
และ ยังอนุมัติจัดตั้งสำนักกิจการต่างประเทศ เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ที่จะเกิดในปี 58 เพราะมองว่าภารกิจในบริษัทจะมีธุรกรรมต่างประเทศเข้ามามากขึ้น จึงควรกำหนดยุทธศาสตร์การลงทุน การร่วมทุน รวมทั้งการอำนวยการพื้นที่ในสนามบินที่จะต้องมีการปรับปรุงอีกมาก ส่วนการสรรหาบุคคลากรจะพิจารณาต่อไป