โดยขณะนี้ ได้หาพื้นที่ตั้งโรงงานในเบลเยี่ยมได้แล้ว พร้อมกับจับมือกับพันธมิตรเบลเยี่ยม เพราะมองว่าเป็นศูนย์กลางยุโรป ส่วนในอังกฤษ และในสหรัฐกำลังมองหาที่ดินอยู่ ซึ่งประธานกรรมการ เครือซีพี กล่าวว่า ระยะเริ่มต้นบริษัทจะลงทุนไม่มาก เพื่อทดลองตลาดดังกล่าวก่อน แต่หากสำเร็จก็จะให้บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เป็นผู้เข้าลงทุน
"ซีพีต้องมีทีมงานที่ยอดเยี่ยมมาผลิตอาหารมนุษย์ แต่จุดอ่อนของเราจะผลิตอาหารเลี้ยงโลกจากหลายประเทศไปเลี้ยงคนทั่วโลกอย่างไร เครือฯยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญอาหารมนุษย์มากมายเท่ากับอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะขยายออกไป" นายธนินท์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเข้าตลาดหุ้นในสหรัฐ หากบริษัทมีฐานกิจการอยู่ในสหรัฐฯ
ปัจจุบัน เครือซีพีมีตลาดเอเชียเป็นหลัก หรือประมาณ 3 พันล้านคน ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของประชากรโลก
นายธนินท์ กล่าวว่า การลงทุนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทยังไม่สามารถเข้าซื้อกิจการธุรกิจค้าปลีกในยุโรป
อย่างไรก็ตาม เครือซีพียังมองหาโอกาสเข้าซื้อกิจการธุรกิจค้าปลีกในเอเชีย ยุโรปและสหรัฐฯ เพื่อมุ่งจะสร้างจุดกระจายสินค้าไปทั่วโลก โดยที่ผ่านมาบริษัททำไม่สำเร็จในดีลที่บริษัทฯเสนอซื้อห้างพาร์ค แอนด์ ช็อป ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง เพื่อใช้เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าของเครือที่ผลิตในไทย และจีน เนื่องจากเสนอราคาต่ำไป รวมทั้ง การพลาดโอกาสเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ของฝรั่งเศส ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกในปีที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นเครือซีพีได้ตัดสินใจเลือกเข้าลงทุนบริษัทประภันภัยผิงอันในจีนแทน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ตนรู้สึกเสียดายโอกาส ทั้งที่ราคาซื้อขายคาร์ฟูร์ไม่สูงเลย แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีโอกาสนั้นกลับมาอีก แต่ในระหว่างนี้ บริษัทได้มีการเจรจากับพันธมิตร ได้แก่ ห้างวอลล์มาร์ทในการเข้ามากระจายสินค้าที่จีน ในจุดหรือสาขาที่วอลล์มาร์ททำได้ดี
รวมทั้ง ยังเห็นว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะเป็นธุรกิจที่มีอนาคต เพราะการค้าขาย 70-80% จะซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต
สำหรับการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ประมาณ 6 หมื่นล้านบาทนั้น นายธนินท์ กล่าวว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเสนอขายได้ภายในปีนี้ และจะช่วยไม่ให้ TRUE ไม่ต้องเพิ่มทุนในระยะนี้ พร้อมมองว่า TRUE กลับมามีกำไร อย่างไรก็ตาม หากยังขาดทุนอยู่ก็อาจมีโอกาสเพิ่มทุนได้
นายธนินท์ ยังกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวอยู่ เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้น และเงินทุนสหรัฐฯที่ไหลกลับอยู่ในขณะนี้ไทยสะเทือนเล็กน้อย ไม่หนักเท่ากับจีน อินเดีย อินโดนีเซีย อย่างไรก็ดี เชื่อมั่นว่าเอเชียกำลังเจริญเติบโต จึงคาดว่าต้นปี 57 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาดีขึ้น และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าต่อ จากที่เห็นญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน ที่ล้วนเจริญรุ่งเรืองอย่างมากหลังจากลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล
"ถ้าเราลงทุนแล้วทำให้ลูกหลานมีภาระ ประเทศอื่นเขาก็ไม่ทำ พอญี่ปุ่นทำแล้วรุ่งเรือง ไต้หวัน ก็เจริญรุ่งเรือง มาเกาหลีใต้ จีน ก็เหมือนกัน เราอย่าไปฟังใคร... เศรษฐกิจไทยเต็มไปด้วยโอกาส" นายธนินท์ กล่าว