ทริสฯคงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ฯ TCAPที่ A+,หุ้นกู้ใหม่ 1,300 ลบ.A+/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 28, 2013 13:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ที่ระดับ “A+" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,300 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+" ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนสถานะการเป็นบริษัทโฮลดิ้งเพื่อลงทุนของกลุ่มธนชาต ตลอดจนอำนาจการบริหารงานและเงินปันผลที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอผ่านการถือหุ้น 50.96% ในธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นธุรกิจหลักในกลุ่ม อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น และการได้รับการสนับสนุนจาก Bank of Nova Scotia (BNS) ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศแคนาดาที่ถือหุ้น 49% ในธนาคารธนชาตผ่าน Scotia Netherlands Holdings BV. อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงอ่อนแอ ตลอดจนปริมาณสำรองเพื่อรองรับผลขาดทุนจากสินเชื่อซึ่งแม้จะมีเพิ่มขึ้นแต่ยังมีจำนวนน้อย และภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจธนาคาร

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ว่า ธนาคารธนชาตซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทจะสามารถผสานพลังกับ BNS เพื่อเสริมสถานะทางการแข่งขันของธนาคารให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนด้านการเงินและความรู้จากผู้ถือหุ้นหลักอันได้แก่ บริษัททุนธนชาต และ BNS ยังจะช่วยให้ธุรกิจและผลประกอบการของธนาคารธนชาตดีขึ้นในอนาคต

อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารธนชาตอยู่ 1 ขั้นซึ่งสะท้อนถึงการด้อยสิทธิเชิงโครงสร้างโดยสิทธิเรียกร้องในหนี้สินของบริษัทจะด้อยกว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้สินของธนาคารธนชาต นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงการพึ่งพารายได้เงินปันผลจากธนาคารธนชาตและกฎเกณฑ์การกำกับดูแลจากทางการอันอาจกระทบต่อความสามารถของธนาคารธนชาตในการจ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัทด้วย

TCAP มีขนาดสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 6 จากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งสิ้น 15 แห่ง ณ เดือนมิถุนายน 2556 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อที่ 8.2% และเงินรับฝากที่ 7.2% ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานสุทธิของบริษัทในปี 2555 และในงวดครึ่งแรกของปี 2556 เป็นรายได้ที่เกิดจากธนาคารธนชาตและบริษัทย่อยของธนาคารคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้ของบริษัทและบริษัทย่อยซึ่งประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ

ระบบการบริหารความเสี่ยงของบริษัทดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม สถานะความเสี่ยงของบริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากปริมาณสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน ยอดคงค้างของสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) ที่มีอยู่ในระดับสูง บริษัทได้แก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ค้างมานานซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่รับโอนมาจากธนาคารนครหลวงไทย(SCIB) ส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงจาก 39.5 พันล้านบาทในปี 2553 ลดลงเหลือ 33.8 พันล้านบาทในปี 2555

อย่างไรก็ตาม มีสินเชื่อจำนวนมากกลายเป็นสินเชื่อด้อยคุณภาพในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ทำให้ปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นเป็น 35.9 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.55% และยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของระบบธนาคารที่ระดับ 2.96% ด้วย ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นจากการเสื่อมค่าลงของสินเชื่อ บริษัทมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้คิดเป็น 60% ของปริมาณเงินกองทุนและสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่มี ณ เดือนมิถุนายน 2556 โดยลดลงจาก 81% ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนของบริษัทยังคงมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 37% บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องในการควบคุมสินเชื่อด้อยคุณภาพ รวมทั้งการเพิ่มปริมาณสำรองหนี้สงสัยจะสูญให้มากยิ่งขึ้น

ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นภายหลังการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตและธนาคารนครหลวงไทย กำไรสุทธิในงบการเงินรวมของบริษัทในปี 2555 มีจำนวน 9.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงาน กำไรสุทธิงวดครึ่งแรกของปี 2556 มีจำนวน 11.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 120% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการบันทึกกำไรพิเศษของธนาคารธนชาตที่เกิดจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลประกอบการจะดีขึ้น แต่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงอ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารอื่น โดยในปี 2555 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ระดับ 1.01% ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของระบบธนาคารที่ 1.41%

ฐานเงินทุนของบริษัทยังคงเพียงพอสำหรับการเติบโตในระยะกลาง กลุ่มบริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 7.64% และอัตราส่วนเงินกองทุนรวมเท่ากับ 12.85% ณ เดือนมิถุนายน 2556 โดยเพิ่มขึ้นจากอัตราส่วนในปี 2555 ที่ระดับ 7.50% และ 12.07% ตามลำดับ และยังคงสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ 6.00% และ 8.50% ตามลำดับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ