สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.6 ปี) LB196A (อายุ 5.6 ปี) และ LB155A (อายุ 1.6 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 10,819 ล้านบาท 9,682 ล้านบาท และ 6,570 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13N12A (อายุ 14 วัน) CB13O31A (อายุ 6 วัน) และ CB14123B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 32,310 ล้านบาท 29,806 ล้านบาท และ 23,275 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) รุ่น GLOW156A (A) มูลค่าการซื้อขาย 636 ล้านบาท หุ้นกู้ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รุ่น BAY142B (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 409 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รุ่น PTTC16OA (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 213 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุน้อยกว่า 3 ปียังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวลดลงในช่วงประมาณ -1 ถึง -3 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยนักลงทุนบางส่วนเริ่มชะลอการลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ (QE) ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 - 30 ตุลาคมนี้ ภายหลังข้อมูลการจ้างงานล่าสุดของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวอย่างไม่มั่นคง โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นเพียง 148,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจจะต้องชะลอการปรับลดขนาดมาตรการ QE ออกไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า เพื่อให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ในระดับที่มั่นคงมากกว่านี้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีผลทำให้เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 10,895 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 2,674 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 8,222 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดขายสุทธิ 53 ล้านบาท