บลจ.กสิกรไทย ออกกองทุนหุ้นเอเชียขาย 31 ต.ค.-6 พ.ย.คาดสหรัฐลด QE ต้นปี 57

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 28, 2013 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ออกกองทุนเปิดเค เอเชียน สมอเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) เพื่อตอบรับกับสภาวการณ์ และโอกาสในการลงทุน โดยกองทุนดังกล่าว จะลงทุนในหุ้นเอเชีย ผ่านกองทุนหลัก Templeton Asian Smaller Companies โดยกองทุน K-ASIA มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนระยะยาวในหุ้นบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีการเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชีย ที่มีขนาดของ market cap เฉลี่ยของหุ้นส่วนใหญ่ที่กองทุนลงทุน จะอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ถือว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทย

บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) ในวันที่ 31 ต.ค.- 6 พ.ย. 56 นี้ โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำได้เพียง 5,000 บาท

นายนาวิน กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทาง บลจ.กสิกรไทย ยังได้มีการศึกษาจะเปิดกองทุน ที่มีการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นอีก ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในช่วงต้นปี 57

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะยังทรงตัว จากที่คาดว่าสหรัฐฯยังจะไม่มีการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เนื่องจากยังต้องรอบทสรุปของการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯก่อน จึงจะเริ่มมีการชะลอ QE ส่วน Fund flow จะกลับมาหรือไม่นั้นก็ยังต้องรอติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยว่าจะออกมาอย่างไร

"เราไม่สามารถตอบได้ว่า Fund flow จะไหลกลับมาหรือไม่ เพราะยังมีความผันผวนของการเมืองภายในประเทศที่เป็นตัวกดดันอยู่ แต่เราก็เชื่อว่าในระยะต่อไป นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนอย่างแน่นอน จากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังมีความเข็งแกร่ง และพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่" นายนาวิน กล่าว

ความกังวลในเรื่องการปรับลดมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียในช่วงที่ผ่านมา โดยทาง บลจ. กสิกรไทย มองว่าการปรับลด QE จะเลื่อนออกไปอย่างน้อยในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ของปี 57 เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯต้องปิดทำการจากปัญหาเรื่องงบประมาณ และการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ จึงเชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะไม่ตัดสินใจลด QE ในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินจะยังอยู่ในตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลดมาตรการ QE จริงเชื่อว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น เนื่องจากเม็ดเงินที่ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ในปีนี้ได้ไหลออกไปมากแล้ว และยังไม่ได้ไหลกลับคืนมามากนัก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียในระยะยาว นอกจากนี้ดัชนี MSCI AC Asia Small Cap index เองก็คงอยู่ในระดับต่ำ โดยมี Forword P/E อยู่ที่ประมาณ 10 เท่า

นายนาวิน กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียยังคงขยายตัวได้ดี ถึงแม้ว่าจะมีการชะลอตัวลงจากปีก่อน แต่ไอเอ็มเอฟก็ยังคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกืจเอเชียในปีนี้ว่าจะมีการเติบโตได้ 6.4% ซึ่งก็ยังอยู่ในระดับที่สูง โดยเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 4.5%

นอกจากนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น รวมไปถึงการค้าระหว่างประเทศในเอเชียด้วยกัน ที่เพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องมาในเศรษญกิจของภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากปัจจุบัน สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ใน 3 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดของประเทศในเอเชีย รวมไปถึงการที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้มีการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเอเชียเติบโต ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและการลงทุนระยะยาว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ