"การขายสินทรัพย์เข้ากองทุนในปีหน้า อยู่ระหว่างรอดูความชัดเจนเรื่องกฏเกณฑ์การตั้งกอง REIT ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ายังไม่มีความชัดเจนของกอง REIT ออกมา เราจะนำสินทรัพย์ของเราขายเข้ากองทุนเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่หากกฏต่างๆของกอง REIT ได้ข้อสรุปแล้วเราก็จะนำสินทรัพย์ขายเข้ากอง REIT และจะเปลี่ยนกองทุนอสังหาฯเดิมของเราให้เป็นกอง REIT ด้วย"นายวีรพันธ์ กล่าว
พร้อมกันนั้น บริษัทยังมีแผนจะออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินประมาณ 800-1,000 ล้านบาทในปีหน้า เพื่อนำมาใช้ในการลงทุนที่ตั้งงบลงทุนรวมไว้ 8 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำเงิน 5-6 พันล้านบาทไปใช้ในการก่อสร้างโรงงานและสร้างคลังสินค้าใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่เช่า และเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะนำไปซื้อที่ดินเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ในปี 57 บริษัทใช้งบลงทุนลดลงจากปี 56 ที่ใช้ไปถึง 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท เพระปีนี้ซื้อที่ดินไปมากแล้ว
"ปีหน้างบลงทุนเราลดลงเพราะส่วนใหญ่ใช้ในการก่อสร้างและปีหน้าจะซื้อที่ดินน้อยกว่าปีนี้ จากปีนี้เราได้มีการซื้อที่ดินเข้ามาค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะที่ดินในนิคมฯต่างๆที่สามารถส่งมอบได้ในปีหน้า"นายวีรพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าบริษัทได้ตั้งเป้าจะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้เหลือ 1 เท่าช่วงต้นปี 57 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.3 เท่า โดยหลังจากขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แล้วจะทำให้ D/E ลดลงมาเป็น 1.8 เท่า และหากสามารถแปลงสภาพวอร์แรนท์ TICON W-3 ได้ตามเป้าหมายที่ 4 พันล้านบาทช่วงต้นปี 57 ก็จะทำให้ D/E ของบริษัทปรับลดลงเป็น 1 เท่าได้ตามเป้าหมาย
ส่วนผลประกอบการในปี 56 นี้บริษัทยังคงเป้าหมายกำไรสุทธิเติบโต 25-30% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 4/56 จะรับรู้กำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเข้ามา โดยทั้งปี 56 มีการนำสินทรัพย์ขายเข้ากองทุนมูลค่ารวมประมาณ 6 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่ขายไป 4.3 พันล้านบาท และรายได้จากค่าเช่าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 7-8% ส่งผลให้รายได้ในปี 56 เติบโตถึง 30% จากปีก่อน
รายได้ที่เติบโตขึ้นในปีนี้ต่อเนื่องในปีหน้านั้น ส่วนหนึ่งมาจากอัตรการเช่าพื้นที่โรงงานและพื้นที่คลังสินค้าที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ให้เช่าของนิคมอุตสาหกรรมในแถบอยุธยาที่น่าจะกลับสู่ภาวะปกติที่อัตราประมาณ 80% หลังจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมา เนื่องจากนิคมฯ มีการสร้างเขื่อนและวางมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันน้ำท่วมอย่างเต็มที่
"หลังจากเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ในปี 54 ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่ของเราลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 40% จากระดับปกติที่กว่า 80% แต่ตอนนี้ความเชื่อมั่นก็เริ่มกลับมาแล้ว หลังจากที่นิคมฯต่างๆได้เริ่มมีการพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วม ทำให้ปัจจุบันอัตราการเช่าปรับขึ้นมาอยู่ที่ 60% แต่เราก็คาดว่าปีหน้าอัตราการเช่าพื้นที่จะกลับสู่ภาวะปกติ"นายวีรพันธ์ กล่าว
นอกจากนั้น แนวโน้มการลงทุนของต่างชาติในประเทศไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากมองว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของประเทศไทยยังได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคและมีแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพดีกว่า ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมที่ได้รับการแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องหลังจากมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 54 ทำให้ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ขณะเดียวกันทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้มีการสนับสนุนให้ SMEs ย้ายฐานการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มการลทุนของต่างชาติในประเทศปีหน้าจะมีการขยายตัวมากกว่าปีนี้