ทั้งนี้ BJCHI มีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 80 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้ว มีจำนวน 240 ล้านบาท คิดเป็น 240 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
สำหรับ BJCHI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบและขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด ฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างประเทศในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงานและปิโตรเคมี เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และอื่นๆ โดยมีตัวอย่างผลงานเช่น งานโครงสร้างเหล็กท่าเรือ โครงสร้างระบบสายพานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ภาชนะบรรจุน้ำมัน ปิโตรเลียม โครงสร้างเตาเผา งานประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ งานติดตั้งโรงงานไฟฟ้า เหมืองแร่ และเขื่อนกันชายฝั่ง เป็นต้น
นักวิเคราะห์โบรกชั้นนำผู้ร่วมจัดจำหน่าย 8 แห่งได้แก่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.ทิสโก้ จำกัด, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.เอเชีย พลัส, บล.บัวหลวง, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.เคทีบี ประเทศไทย และบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินราคาเป้าหมายเฉลี่ย 41 บาทต่อหุ้น และให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 44.5 บาทต่อหุ้น สะท้อนหุ้น BJCHI มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอนาคตสดใส เติบโตแข็งแกร่งตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมพลังงานและเหมืองแร่ในประเทศออสเตรเลียที่มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลด้านพลังงานและเหมืองแร่ในประเทศออสเตรเลีย พร้อมทั้งชูจุดเด่นด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการในระดับสูง ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานในระดับนานาชาติมาอย่างยาวนานในหลากหลายอุตสาหกรรม ส่งผลดีต่อขีดความสามารถในการทำกำไรได้ดี และคาด BJCHI สามารถทำรายได้กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์
จากบทวิเคราะห์พบว่า นักวิเคราะห์แต่ละแห่งมอง BJCHI เป็นบริษัทฯที่มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ (Modularization) เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีความสามารถและประสบการณ์การทำงานในระดับนานาชาติ โดยกลุ่มลูกค้าของ BJCHI กระจายอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงาน ปิโตรเคมี เหมืองแร่ ก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่น ปุ๋ย และท่าเรือ ในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน เช่น ประเทศในทวีปออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และเอเชีย
ลักษณะธุรกิจที่ BJCHI ทำตลาดอยู่นั้น จัดอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงเนื่องจากมีคู่แข่งน้อยราย และการแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรงนัก รวมถึงยังมีอัตราการเติบโตที่ดี เช่น ธุรกิจพลังงานก๊าซธรรมชาติ (LNG) ที่มีบทบาทในฐานะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลก ปัจจุบันมีโครงการลงทุนในประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ มีโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และเหมืองแร่ เป็นต้น รวม 350 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 500,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งจะลงทุนภายในปี 60 ดังนั้น ประเทศออสเตรเลียจึงเป็นตลาดสำคัญของ BJCHI ที่จะสามารถเข้าไปแข่งขันรับงานได้เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน BJCHI มีมูลค่างานในมือ 3,334 ล้านบาท โดยเป็นงานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระหว่างปี 56 จำนวน 1,494 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้จากการส่งมอบงานไปจนถึงปี 58 นอกจากนี้ จากแนวโน้มทิศทางพลังงานในตลาดโลกที่สดใสอย่างมากในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเชื่อว่า BJCHI จะมีโอกาสเข้าร่วมประมูลงานรวมมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการใหม่ และงานต่อเนื่องจากโครงการ APLNG ซึ่งเป็นฐานลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท ส่งผลให้เชื่อมั่นว่าสามารถมีรายได้เติบโตโดดเด่นต่อเนื่องในอนาคต
ผลประกอบการปี 53 มีรายได้ 556 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 813 ล้านบาทในปี 54 และเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 55 ซึ่งมีรายได้กว่า 3,613 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 344% ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้ 2,101 ล้านบาท เติบโตกว่า 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิก็เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจาก 71 ล้านบาทในปี 54 เป็น 792 ล้านบาทในปี 55 คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 1,015% และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 542 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 145% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ประกอบกับฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) สิ้นสุดไตรมาส 2/56 อยู่ที่ 0.40 เท่า ลดลงจากปี 54-55 ซึ่งมี D/E อยู่ที่ 0.75 เท่า และ 0.45 เท่าตามลำดับ รวมถึงอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) สิ้นสุดไตรมาส 2/56 อยู่ในระดับสูงถึง 104.25%
นาย หยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ BJCHI กล่าวว่า เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO จะนำไปลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ อีกส่วนนำไปลงทุนก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัท ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินและโรงงานแห่งใหม่ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน