นอกจากนั้น มองว่าในปี 57 ธุรกิจโรงภาพยนตร์จะยังเติบโตต่อเนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศที่คาดว่าจะทำเงินได้มากเข้ามาฉาย ประกอบกับแผนขยายโรงหนังทะลุ 500 โรงภายในสิ้นปีนี้ เน้นในต่างจังหวัดจะเป็นตัวเสริมอย่างดีที่จะเพิ่มรายได้และกำไรต่อเนื่องจากปีนี้
อีกทั้งบริษัทมีรายได้จากโฆษณาผ่านโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นจากที่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด รวมทั้งรายได้จากการขายป๊อบคอร์นและเครื่องดื่มที่จะสูงขึ้นตามจำนวนสาขา
บริษัทยังได้มีการลงทุนการจัดจำหน่ายตั๋วผ่านเครื่อง E-ticket แทน จะยิ่งช่วยให้มาร์จิ้นสูงขึ้นไปอีก และช่วยรองรับการขยายฐานลูกค้าในประเทศอาเซียน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เคเคเทรด ซื้อ 26.60 บล.ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 26.00 บล.เคทีบี ซื้อ 28.60 บล.ฟิลลิป ซื้อ 28.00 บล.เคจีไอ ซื้อ 35.00
นางสาวพรสุข อมรวดีกุล นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า กำไรในไตรมาส 3/56 คาดว่าจะลดลงจากฐานสูงในไตรมาสก่อน 43-48% แต่ผลประกอบการในแง่ของกำไรในไตรมาส 4/56 จะกลับมาดีอีกครั้งจากปัจจัยฤดูกาล และหนังฟอร์มใหญ่เข้าฉายหลายเรื่อง ทั้งหนังต่างประเทศและหนังไทย เช่น Thor ภาค 2: The Dark World, The Hunger Games ภาค 2, The Hobbit ภาค 2, ต้มยำกุ้ง ภาค 2, ตำนานสมเด้จพระนเรศวร 5 และหนังของ M-39
นอกจากนี้จากแผนการขยายโรงหนังเพิ่ม รวมเป็น 500 โรงภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบัน 445 โรง โดยเน้นการขยายในต่างจังหวัด เพื่อรองรับการกระจายของความเจริญทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ และการปรับเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล 100% ภายในสิ้นปีช่วยลดต้นทุน นอกจากการควบคุมต้นทุนด้านอื่นๆ เช่น การขายตั๋วผ่านช่องทาง E-Ticketing ทั้งนี้ จากหน้าหนังที่แข็งแกร่ง จะทำให้รายได้ขายเครื่องดื่มและอาหาร รวมทั้งรายได้โฆษณาดีขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนภาพยตร์ที่จะเข้าฉายในปี 57 มองว่ายังคงแข็งแกร่ง โดยรวมมาจากหนังต่างประเทศที่ทำเงินภาคต่อ เช่น The Amazing Spider-Man 2, X-Men: Days of future past, Fast And Furious 7, Resident Evil 6, The Hunger Games: Mockingjay, Part 1 และ The Hobbit: There and Back Again
นายชวิน แสงศิรินาวิน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของรายได้ในส่วนของโฆษณาในโรงภาพยนตร์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากความชัดเจนในการเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งจากพื้นที่ตั้งโรงภาพยนตร์หรือหน้าหนัง และโอกาสที่จะเพิ่มลูกเล่นในการโฆษณา รวมถึงได้รับผลกระทบที่จำกัดในช่วงที่มีการลดงบจากที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะกว่าสื่ออื่น
"เรามองแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ต่างจังหวัดสูงขึ้น 5% เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งปีแรก จากการเปิดสาขาในต่างจังหวัดในช่วงปลายปีทั้งหมด 55 สาขา และคาดว่าแนวโน้มจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไปในระยะยาว รวมถึงการเปลี่ยนระบบฉายเป็นดิจิตอลที่ปัจจุบันมีความคืบหน้าราว 90% โดยมีแผนจะเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล 100% ในเดือนตุลาคม
เราคงมุมมองบวกต่อระบบฉายใหม่ที่จะช่วยเสริมความยืดหยุ่นในการขายโฆษณาและเป็นการยกระดับคุณภาพในการให้บริการ ประกอบกับมองไปถึงความแข็งแกร่งของความเป็นผู้นำในประเทศไทยและลดความกังวลจากการรุกตลาดโรงภาพยนตร์ชุมชนของกันตนา จากที่ผู้บริหารของ Major มีมุมมองว่าการให้บริการของกันตนาด้วยราคาตั๋วที่ 30 บาท จะเป็นข้อจำกัดในการให้บริการ"นายชวิน กล่าว
นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า รายได้ไตรมาส 3/56 ของ MAJOR จะยังเห็นการเติบโตได้ราว 5-8% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากไม่มีภาพยนตร์เด่นๆเข้าฉาย แต่มีรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม การออก Package การขาย และสินค้าใหม่
ขณะที่การขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มเป็น 500 โรงในสิ้นปี ซึ่งทุกโรงจะเป็นระบบดิจิตอล ประกอบกับรายได้จากโฆษณาที่คาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 15% ทำให้ไตรมาส 4/56 ปรับตัวดีขึ้น และจะเห็นกำไรกลับมาโตสูงอีกครั้งจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่จะเข้าฉายหลายเรื่องที่คาดหวังรายได้ที่สูง และเป็นช่วง High season ของธุรกิจโฆษณามีการวางแผนใช้งบมากขึ้น
ด้านนายปฏิภาค นวาวัตน์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)กล่าวว่า กำไรน่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4/56 จากโปรแกรมหนังที่น่าจะทำเงินได้ดีที่เข้าโรง โดยยังคงมั่นใจว่ากำไรสุทธิในปี 56 ของ MAJOR น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่คาดว่าจะเติบโต 38% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 897 ล้านบาท
นอกจากนี้แผนธุรกิจในปีหน้าจะเน้นในเรื่องของการลดต้นทุน ซึ่งบริษัทจะลดจำนวนพนักงานลงครึ่งหนึ่งภายใน 1 ปี และเปลี่ยนเป็นเครื่องของตั๋ว E-ticket แทน คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานลงและทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นได้
"เราคาดว่ากำไรจากการดำเนินธุรกิจหลักของ MAJOR จะโต 38% ในปีนี้ และโต 11% ในปีหน้า จากการที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์กลับมาโตอีกครั้ง รายได้จากธุรกิจโฆษณาที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการไม่มีผลขาดทุนของ MVD อีกต่อไป"นายปฏิภาค กล่าว
สำหรับรายได้เสริมของบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มนั้น บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ที่สร้างสรรในการนำเสนอกระป๋องป๊อปคอร์นและภาชนะใส่เครื่องดื่มที่มีดีไซน์แบบ Fantasy ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างดี และสัดส่วน con-to-box ได้เพิ่มขึ้นจาก 27% ในครึ่งแรกของปี 55 เป็น 29% ในครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทเชื่อว่าจะสามารถรักษาสัดส่วนนี้ไว้ได้จนสิ้นปี
นักวิเคราะห์ บล.เคเคเทรด มองหุ้น MAJOR ในช่วงไตรมาส 4/56 จะมีภาพยนตร์ภาคต่อที่เคยทำรายได้ Box Office สูงรอเข้าฉายหลายเรื่อง เช่น ต้มยำกุ้ง 2, The Hobbit 2, THOR 2, The Hunger Games 2 และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 5" ซึ่งเป็นภาคจบ คาดว่าจะเข้าฉายในเดือน ธ.ค. ทำให้มองว่าธุรกิจโรงภาพยนตร์และมูลค่าตลาด Box Office จะกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อธุรกิจสื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ที่หันมาเน้นการขายโฆษณาตามหน้าหนังมากขึ้นอีกด้วย ทำให้คาดว่ากำไรไตรมาส 4 ของ MAJOR กลับมาเติบโตโดดเด่นได้อีกครั้งหลังจากไตรมาส 3 กำไรจากธุรกิจปกติ ปรับตัวลดลง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกันของเดือนก่อนหน้า เป็น 178 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีภาพยนตร์ทำสถิติรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์เหมือนในไตรมาส 2
ทั้งนี้ ในปี 58 MAJOR มีแผนเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าจะเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่รวมเป็น 600 โรง หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ ตามการขยายตัวของชุมชนเมืองต่างจังหวัด พร้อมกันนี้ MAJOR ยังเริ่มเจรจากับพันธมิตรธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเตรียมตัวขยายการลงทุนรับการเปิดประชาคมอาเซียน (AEC) อีกด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายฐานรายได้ต่อเนื่อง