บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ ประกอบธุรกิจ ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 3 แห่ง โดย 2 แห่งตั้งอยู่ในไทย และอีก 1 แห่งตั้งอยู่ในออสเตรเลีย บริษัทมีกำลังการผลิตแคปซูลเจลนิ่มรวม 2.1 พันล้านแคปซูลต่อปี ซึ่งจะเพิ่มเป็น 3.8 พันล้านแคปซูลต่อปี หลังขยายสายการผลิตเพิ่มอีก 8 สายที่โรงงานในไทย ซึ่งจะติดตั้งแล้วเสร็จใน ม.ค.57 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ กลุ่มตระกูลชาห์ ถือหุ้น 533,210,240 หุ้น หรือคิดเป็น 72.50% หลังขาย IPO แล้วจะลดการถือหุ้นเหลือ 465,246,932 หุ้น หรือ 53.77%
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน MEGA กล่าวว่า อยู่ระหว่างการจัดเวทีให้ข้อมูลกับนักลงทุน(โรดโชว์)ในกรุงเทพฯ จากนั้นจะไปทำโรดโชว์ที่สิงคโปร์ และฮ่องกง ก่อนจะกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO หลังจากประเมินความต้องการซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ บุคคลธรรมดา คาดว่าจะกำหนดราคาได้ปลายสัปดาห์หน้า พร้อมกับกำหนดสัดส่วนการเสนอขายหุ้น IPO ให้ครบทุกกลุ่ม ทั้งสถาบันในประเทศ ต่างประเทศ และรายย่อย
ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ IPO จำนวนประมาณ 164 ล้านหุ้น รวมทั้ง จะนำหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมอีก 52 ล้านหุ้นที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนรายใหญ่ 1 ราย ซึ่งจะทำรายการในวันแรกที่หุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาเท่ากับราคาเสนอขาย IPO โดยได้เจรจาตกลงกับนักลงทุนรายใหญ่ไว้แล้วว่าจะเป็นการเข้ามาลงทุนในระยะยาว ภายใต้สัดส่วนการถือหุ้นราว 4-5%
นายแมนพงศ์ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าการซื้อขายหุ้น MEGA ในตลาดหลักทรัพย์วันแรกน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยปี 55 มีรายได้รวม 5905 ล้านบาท เติบโต 20% ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับดังกล่าวในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกที่เป็นผู้ผลิตยาและวิตามิน ส่วนภาวะตลาดหลักทรัพย์ในช่วงดังกล่าวจะเป็นอย่างไรเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบ
"ไม่กังวลภาวะตลาด เพราะขึ้นกับพื้นฐานบริษัทมากกว่า เชื่อว่านักลงทุนจะยอมรับโดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ"นายแมนพงศ์ กล่าว
นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEGA กล่าวว่า การระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ที่มีอยู่กว่า 1 พันล้านบาท เพื่อทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(DE)ของบริษัทลดลงเหลือจาก 0.9 เท่า และในปี 57 บริษัทจะพยายามรักษาการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 20-30% เท่ากับปีที่ผ่านๆ มา และบริษัทยังมองหาซื้อกิจการเพิ่ม ซึ่งเป็นแบรนด์ยาสามัญประจำบ้านในต่างประเทศที่มีช่องทางขายอยู่แล้ว เหมือนในอดีตที่เคยซื้อแบรนด์จากเวียดนามมาแล้ว เพื่อเสริมสร้างการเติบโตในอนาคต ปัจจุบัน บริษัทผลิตสินค้าไปขายในเวียดนาม พม่า และกัมพูชา