สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.6 ปี) LB15DA (อายุ 2.1 ปี) และ LB21DA (อายุ 8.1 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 17,203 ล้านบาท 11,601 ล้านบาท และ 9,844 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13N19A (อายุ 14 วัน) CB14109A (อายุ 69 วัน) และ CB14130B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 32,176 ล้านบาท 28,822 ล้านบาท และ 27,712 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รุ่น PTTC172A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 509 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) รุ่น CPF218B (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 368 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รุ่น PTTC167A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 303 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ในตราสารหนี้ระยะสั้น อายุน้อยกว่า 3 ปี ประมาณ -1 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในช่วงประมาณ +4 ถึง +18 Basis Point โดยเฉพาะตราสารรุ่นอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นถึง 18 Basis Point ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงขายของนักลงทุนในประเทศบางกลุ่มเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนสำหรับเข้าประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่จะมีการประมูลในทุกๆสัปดาห์ของเดือนพฤศจิกายน ขณะที่อีกส่วนเกิดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ตามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง แรงขายที่เกิดขึ้นมีผลอัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น (ราคาตราสารหนี้ปรับลดลง) อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทจัดการกองทุน ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง โดยมีแรงขายในตลาดหุ้น และโยกเงินบางส่วนเข้ามาซื้อพันธบัตรระยะสั้นมากขึ้น และมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นปรับตัวลดลง (ราคาตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้น)
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 9,242 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 3,735 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 5,507 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 509 ล้านบาท