อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีพื้นฐานดี แม้ปีนี้จะชะลอตัวลงบ้าง แต่เชื่อว่าในปีหน้าจะยังสามารถขยายตัวได้โดยเฉพาะจากการส่งออกที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกจากนี้หากมองระดับราคาปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยยังถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค อาทิ ฟิลิปปินส์ หรือมาเลเซีย จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่น่าสนใจและหากมองในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มเป็นบวก
โดยบลจ. กสิกรไทยคาดว่าเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2556 นี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,400 -1,450 จุด และคาดว่า ณ สิ้นปี 2557 จะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,540 - 1,600 จุด จึงแนะนำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะที่ตลาดปรับฐานลงมาเป็นโอกาสที่จะเข้าสะสมการลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม
นายจงรักกล่าวว่า เพื่อสอดรับกับสภาพเศรษฐกิจ ความผันผวนของตลาดและสถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้ นับว่าเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยบลจ.กสิกรไทยมีกองทุน LTF-RMF ให้เลือกสรรหลากหลาย ตอบโจทย์ที่เหมาะสมแก่นักลงทุน
นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน พ.ย. นี้ บลจ.กสิกรไทยเตรียมจะเสนอขายกองทุนเปิดเค เซ็ท 50 เพื่อการเลี้ยงชีพ (KS50RMF) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นตามดัชนี SET 50 เพื่อเพิ่มเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจให้แก่นักลงทุนในราคา IPO ที่ 10 บาท ต่อหน่วย
สำหรับกองทุนรวม LTF-RMF ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทยยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อแบ่งแยกตามประเภทแล้ว สำหรับสินทรัพย์สุทธิ ณ วันที่ 1 พ.ย. 2556 ของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ปัจจุบันอยู่ที่มูลค่า 59,165 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 29% ถือเป็นอันดับ 1 ของตลาด
ส่วนสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ปัจจุบันอยู่ที่ 37,351 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28% ถือเป็นอันดับ 1 ของตลาดเช่นเดียวกัน และสำหรับแนวโน้มการลงทุนกองทุน LTF-RMF ในโค้งสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี แม้อาจจะไม่มากเท่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่มั่นใจได้ว่า บลจ.กสิกรไทย จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดได้อีกครั้งอย่างต่อเนื่อง