โดยโรง I4-2 เดินเครื่องได้เร็วขึ้นหลังจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5 เดินเครื่องได้ 50% ทำให้ผลกระทบต่อกำไรลดลง 200 ล้านบาท/เดือน จากเดิมคาดกระทบ 400 ล้านบาท/เดือน อีกทั้งไตรมาส 4 นี้ไม่มีการหยุดซ่อมโรง I4-1 เหมือนในไตรมาส 3/56 รวมทั้งราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/56 ได้แก่ HDPE ขณะนี้ปรับขึ้นมาที่ 1,530 เหรียญ/ตัน จากงวด 9 เดือนราคาเฉลี่ยที่ 1,480-1,480 เหรียญ/ตัน, เบนซีน ราคาตอนนี้อยู่ที่กว่า 300 เหรียญ/ตัน เทียบจากราคาเฉลี่ยปีที่แล้วอยู่ที่ 260 เหรียญ/ตัน
"ในไตรมาส 4/56 โพลิเมอร์ Run เต็ม 100% น่าจะทำให้กำไรดี เพราะจะมีการใช้ capacity ดีกว่าในไตรมาส 3 และก็ไม่มีโรงไหน shut down "นายบวร กล่าว
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC คาดว่า EBITDA ในปี 56 จะเพิ่มขึ้น 170 ล้านเหรียญ หรือราว 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.8 พันล้านเหรียญ ซึ่งมาจากโครงการ Synergy ของโรงงานในกลุ่มบริษัท และในปีหน้าก็จะทำได้อีก 110 ล้านเหรียญ ทั้งนี้คาดว่าในช่วง 5 ปี (ปี 55-60) บริษัทจะมี EBITDA เพิ่มขึ้น 25-30% จากปี 55 ซึ่งเชื่อว่าจะดำเนินการได้ตามแผน
แต่เนื่องจากในปีนี้บริษ้ทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 3 เรื่องหลักได้แก่ กรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่ว, โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LDPE ปิดซ่อม 3 เดือนครึ่งซึ่งประเมินกระทบกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท และผลกระทบจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5 ปิดซ่อมจากฟ้าผ่าทำให้ไม่มีวัตถุดิบเดินเครื่องผลิตได้ ดังนั้น อาจจะทำให้ EBITDA ในปีนี้เติบโตราว 7-8% โดยงวด 9 เดือนปี 56 เติบโต 8%
อย่างไรก็ตาม ในปี 57 บริษัทคาดว่า EBITDA จะเติบโต 10% เนื่องจากปีหน้าธุรกิจโอเลฟินส์เริ่มเป็นขาขึ้น จากราคาผลิตภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/56 ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์อ่อนตัวลงในปีหน้าเทียบจากปีนี้ ส่วนธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าทรงตัว
ทั้งนี้ ธุรกิจโอเลฟินส์มีสัดส่วนถึง 55% ของ EBITDA โดยคาดว่าปี 57 จะมีส่วนต่างราคาขึ้นมาที่ประมาณ 570-580 เหรียญ/ตัน จากปีนี้คาดที่ 530-560 เหรียญ/ตัน